เดลลี-ทัชมาฮาล-ราชสถาน
มุมไบ-อชันตา-สถูปสาญจี 11 วัน
26ธ.ค.-6ม.ค. ราคา 85,900 บาท (กินดี อยู่ดี)


26 ธ.ค.////วันแรกของการเดินทาง กรุงเทพฯ-เดลลี

06.30     คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบินแอร์อินเดีย
08.55     เหินฟ้าจากกรุงเทพฯสู่ เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยสายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI333บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน(เวลาบินประมาณ 4.35 ชั่วโมง)
12.00     ถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธีร์ เมืองเดลี
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านผ่านชมประตูชัยอินเดีย (INDIA GATE)ประตูชัยแห่งอินเดีย คล้ายกับประตูชัยในปารีส สร้างเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ทหารอินเดียจำนวน 90,000นายที่เสียสละว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นนำท่านนำท่านชมเมืองเดลีใหม่ ชมถึงศิลปะการก่อสร้างเมืองซึ่งอังกฤษได้สร้างเมืองใหม่จากผังเมืองที่ทันสมัยและสวยงามตามวัฒนธรรมของอังกฤษ จากนั้นนำท่านผ่านชมตึกที่ทำการของคณะรัฐบาลทำเนียบประธานาธิบดี ( PRESIDENT HOUSE ) คือที่ทำงานและที่พักของประธานาธิบดีอินเดีย เป็นอาคารที่ก่อสร้างที่ประกอบด้วยห้องจำนวน 340 ห้อง อยู่บน Raisina Hill เป็นอาคารที่มองสวยงามเอกลักษณ์การก่อสร้างรูปแบบอินเดียผสมผสานระหว่างยุคโมกุลและตะวันตก นำท่านชม วัดอัคชาร์ดาม สร้างขึ้นโดยองค์กร BAPS ในเดลลี ซึ่งผสมผสานลักษณะทางสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของอินเดียเข้าด้วยกันใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 5ปี ใช้ช่างศิลปะและสถาปนิกจำนวน 7,000 คน เป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง สวยงามน่าดูชมจากทุกมุมมอง
ค่ำ          รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารโรงแรม
พักที่เดลลี Fortune Hotel Park Orange Sidhrawali หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว

27 ธ.ค.////วันที่สองของการเดินทาง เดลลี-มถุรา-อัครา
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
นำเดินทางออกจากเขตปกครองพิเศษ เดลลี ผ่านเข้าสู่แคว้นอุตรประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งเกษตรกรรมนานาชนิดที่ผลิตเพื่อเลี้ยงดูชาวอินเดียทั้งประเทศ ไปตามถนนไฮเวย์สายใหม่ ผ่านเมืองใหญ่ มธุรา สู่ เมืองอักรา นำท่านชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติมถุรา ที่จัดแสดงศิลปะแบบสกุลช่างมถุรา (Mathura)ประติมากรรมในสมัยนี้จะนิยมใช้หินทรายสีชมพูแก่ลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยนี้จะมีความเป็นพื้นเมืองเข้ามาผสมจะยังคงแสดงให้เห็นอิทธิของศิลปะแบบคันธาระ
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านชมอัคราฟอร์ท (Agra Fort) ป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ สร้างขึ้นโดยใช้เวลาที่ยาวนานถึงสามยุคของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โมกุล มีลักษณะเป็นกำแพงสองชั้นและป้อมอาคารทางเข้าทั้งสี่ทิศ Jehangiri Mahal อาคารสีแดงจากหินทราย ซึ่งจักรพรรดิ์ Akbar สร้างให้แก่มเหสีอินดู Jodhabal ,ห้องโถงใหญ่ Khas Mahal และ Palace of mirrors Pearl Mosque มัสยิดสีขาวสะอาด และ Nagina มัสยิดซึ่งท้ายที่สุดที่นี้ยังเป็นที่คุมขัง Shahjehan โดยบุตรชายของพระองค์เอง  พระองค์ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตโดยการมองผ่าแม่น้ำ
ยมุนาไปยัง ทัชมาฮาล ซึ่งมเหสีสุดที่รักของพระองค์ประทับอยู่อย่างนิรันดร์  จากนั้น นำท่านชมทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมุนาสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวประดับด้วยรัตนชาติหลากหลายชนิด  ใช้เวลาในการสร้างถึง 22 ปี ด้วยแรงงานกว่า 20,000 คน ออกแบบและตกแต่งโดยช่างฝีมือเอกของโลกในยุคนั้นเพื่อแสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ ของShahkehan  ต่อพระมเหสี Mahal ที่สวรรคต เนื่องจากการให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ภายในเป็นที่บรรจุร่างของพระนาง
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ  ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก
พักที่อัครา โรงแรม The Grand Imperial-Heritage Hotel หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว

28 ธ.ค.////วันที่สามของการเดินทาง อัครา- Fetepur Siki-เมืองจัยปูร์
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่เมืองชัยปุระระหว่างทางนำท่านชม Fetepur Siki เมืองที่พระเจ้าอัคบาร์ มหาราชทรงสร้างขึ้นเพื่อหวังจะให้เป็นเมืองหลวงใหม่แต่เนื่องจากเป็นเมืองที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้แห้งแล้งจนไม่สามารถอยู่ได้จึงได้ทิ้งเมืองและย้ายไปตั้งเมืองหลวง ณ นครอัครา แต่ถึงเมืองจะทิ้งร้างไว้นานก็ยังคงหลงเหลือความงดงามและท่านจะได้เห็นแนวความคิด ที่จะรวมทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าอัคบามหาราช พระองค์ทรงมีมเหสีสามพระองค์และมเหสีแต่ละองค์ต่างนับถือศาสนาที่แตกต่างกันคือ ศาสนาอิสลาม,ฮินดู และคริส แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ตัวพระราชวังสร้างโดยหินสีแดงและแบ่งเป็นห้องต่างๆรวมถึงมีแสดงดนตรี และห้องประชุมอันงดงาม
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองจัยปูร์ (นครสีชมพู) เหตุที่เรียกเมืองนี้ว่านครสีชมพูนั้นเพราะเป็นสีที่กษัตริย์พอพระทัยมากและเมื่อครั้งที่เจ้าฟ้าชายแห่งอังกฤษเสร็จเยือนเมืองชัยปุระพระเจ้ารามซิงค์ได้สั่งให้ประชาชนทาสีบ้านเรือนทุกหลังให้เป็นสีชมพูอมส้ม เพื่อต้อนรับเจ้าฟ้าชายแห่งอังกฤษจนทำให้เจ้าฟ้าทรงพอพระทัยมากและถึงกับออกปากเชิญพระเจ้ารามซิงค์ให้เสด็จไปเยือนประเทศอังกฤษ  จัยปูร์ หรือ จัยเปอร์ ท่านมหาราชา ไสว ชัย สิงห์ ที่ 2 (Sawei Jai Singh II) เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1727 เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ออกแบบวางผังเมืองได้สวยงาม ระยะทางประมาณ 175 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง นำท่านชมซิตี้พาเลซ (City Palace) ซึ่งมีพื้นที่คลอบคลุม 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง ปัจจุบันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของใช้ส่วนพระองค์ของพระราชาแห่งเมืองจัยปูร์    ทางเข้าซิตี้พาเลซ มีหอดูดาว จันทราแมนทาร์ (Jantar Mantar) ซึ่งเป็นหอดูดาวที่ใหญ่และค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด นาฬิกาแดด สูงถึง 28 เมตร  นำท่านเข้าชม ฮาวามาฮาล (พระราชวังสายลม)  ที่ซึ้งกษัตริย์ไสวไชยซิงค์สร้างตำหนักแห่งนี้เป็นกำนัลแด่ชายาและนางสนมทั้งหลายใช้เป็นที่สูดอากาศ และมองดูความเป็นไปภายนอก คำว่า “ฮาวา”  ซึ่งแปลว่าสายลมจึงทำให้คนไทยเรียกว่า “พระราชวังสายลม” และฝรั่งจะเรียกว่า “Palace Of Wind” นำท่าน นำท่านสู่พระราชวังแอมเบอร์(Amber Fort) โดยการนั่งช้างที่ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรสวยงามชมพระราชวังที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบศิลปะราชบุตรท่านจะได้ชมห้องต่างๆภายในพระราชวัง นำท่าน
ชมพระราชวัง City Palace สถาปัตยกรรมแบบราชสถานที่แสดงถึงลักษณะของศิลปะโมกุลพร้อมทั้งชมพิพิธภัณฑ์ ภายในจะแสดงเครื่องใช้ของเจ้าครองแคว้นในยุคนั้น
ค่ำ          รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารโรงแรม
พักที่จัยปูร์ Golden Tulip Hotel Jaipur หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว

29 ธ.ค.////วันที่สี่ของการเดินทาง จัยปูร์ -จัยแซลเมียร์
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
11.00       ออกเดินทางสู่สนามบิน ด้วยเที่ยวบินที่ SG 2981(ใช้เวลาบิน1.25ชม.)
12.25   เดินทางถึงสนามบินจัยแซลเมียร์
เมือง เมืองจัยแซลเมียร์ เป็นเมืองที่ได้รับสมญานามว่า “นครสีทอง” ตั้งอยู่บนที่ราบสูง กลางที่ราบทะเลทรายทาร์ มีกำแพงสูงใหญ่ เป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่ทางตะวันตกสุดของแคว้นราชาสถาน ในอดีตเคยเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างอินเดียกับตะวันออกกลาง นครแห่งนี้ส่วนใหญ่ก่อสร้างจากทรายสีเหลือง เมื่อยามต้องแสงจึงเห็นเป็นสีทองอร่าม  หลังอาหารออกเดินทางชมหลังอาหารออกเดินทางชมทะเลสาบกาดซิซาร์ (Gadsisar Lake) โอเอซิสท่ามกลางทะเลสร้างโดยมหาราชา วาลกาดซี ราว ค.ศ.ที่ 14  สมควรแก่เวลานำท่านชม  ป้อมจัยแซลเมอร์ (Jaisalmer Fort) ป้อมปราการขนาดใหญ่ท่ามกลางทะเลสาบ สร้างโดย Bhatti Rajput rule Rawal Jaisal เมื่อปี ค.ศ. 1156 บนเขาทิตรีกูฏ เป็นป้อมที่สองของรัฐราชาสถาน ภายในมีบ้านพักของชาวบ้านที่พำนักมานานหลายร้อยปี  ปัจจุบันยังมีประชาชนอาศัยอยู่มากมายไม่ต่ำกว่า ห้าพันคน  ท่านจะได้ได้เห็นทัศนียภาพโดยรอบของเมืองนี้ จากนั้นนำท่านชมคฤหาสน์ของเสนาบดี หลังแรกคือ Nathmal Ji Ki Haveli สูง 5 ชั้น สร้างปี ค.ศ. ที่ 19 โดย Lalu และ Hathi 2 พี่น้องศิลปินและสถาปนิกเอก และอีกหลังคือ Patwon Ki Haveli ซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ช่วงบ่ายอิสระให้ท่านได้พักผ่อน  สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางไปขี่อูฐที่ทะเลทรายทาร์  ชม Sam Sand Dunes และพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งห่างจากตัวเมืองไป 45 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที  ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปที่ทะเลทรายทาร์ และ ชมแซมแซนดูน คือช่วงเช้าพระอาทิตย์ขึ้น หรือ ช่วงเย็นช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีแสงเหมาะกับการถ่ายภาพ
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารโรงแรม หลังอาหารพักผ่อนตามอัธยาศัย
พักที่ จัยแซลเมียร์   โรงแรม  Fort Rajwada หรือเทียบเท่า ระดับ 4 ดาว


30 ธ.ค.///วันที่ห้าของการเดินทาง จัยแซลเมียร์-จ๊อดปูร์
เช้า
         รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางสู่เมือง จ๊อดปูร์ (Jodhpur) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง เป็นเมืองโรแมนติกหรือเมืองโยธะปุระ นครนักรบ ทั่วทั้งเมืองเป็นสีฟ้าน้ำทะเล ใหญ่เป็นอันดับสองในแคว้นราชาสถาน ตั้งโดย Rao Jodha แห่งราชวงศ์ Rathor
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
หลังอาหารนำท่านชม  ป้อมเมห์รานการห์ (Mehrangarh Fort) 1 ใน 4 พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย มีความยาวข้ามเขาถึง 125 ลูก ภายในมีพระราชวังที่สวยงามและใหญ่ที่สุด เป็นจุดชมวิวเมืองสีฟ้าที่ดีที่สุด สร้างอยู่บนเขาสูง 122 เมตรในปี ค.ศ. 1459 เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร ภายในประดับตกแต่งด้วยแก้วหลากสี แบ่งเป็นห้องขนาดใหญ่หลายห้อง เช่น ตำหนัก Moti Mahal, Sheesh Mahal, Phool Mahal จากนั้นนำท่านชม วัด Chamunda Mataji สมควรแก่เวลาออกเดินทางไปชม Jaswant Thada ก่อสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง เป็นที่ฝังศพของมหาราชา Jaswant Singh ที่สองและราชวงศ์
ค่ำ         บริการอาหารค่ำ ณ  ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก
พักที่จ๊อดปูร์ โรงแรม Fern Residency Jodhpur หรือเทียบเท่า ระดับ 4 ดาว

31 ธ.ค.////วันที่หกของการเดินทาง  จ๊อดปูร์-รานัคปูร์-อุทัยปุระ
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านชมวิหารเชน ที่เมืองรานัคปูร์ เป็นวิหารของศาสนาเชน สร้างขึ้นโดยคหบดี Dharna Sah เมื่อราว 500 ปีก่อน ภายในประกอบด้วยห้องโถงกว่า 24 ห้อง โดมทั้งหมด 80 โดม และ เสาจำนวนถึง 1114 ต้น โดยเสาแต่ละต้นจะถูกแกะสลักอย่างงดงามมากนำท่านออกเดินทางสู่เมือง อุไดปุร์ 
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นท่านเดินทางไปล่องเรือ ในทะเลสาบ พิโคลา (Pichola Lake) ชมทิวทัศน์รอบทะเลสาบยามเย็น มีเกาะอยู่ 2 เกาะคือ Jag Niwas เป็นที่ตั้งของ Lake Palace สร้างโดย Maharana Jagat Singh II เมื่อปี ค.ศ. 1743 ใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน ปัจจุบันเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว และเกาะ  Jag Mandir
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักที่อุทัยปุร์ Golden Tulip Udaipur หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

1  ม.ค. ////วันที่เจ็ดของการเดินทาง  อุทัยปุระ-มุมไบ
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางไป ชม ซิตี้ พาเลซ (City Palace) หรือพระราชวังฤดูหนาว มีส่วนหนึ่งจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชม สร้างด้วยหินแกรนิตและหินอ่อน ภายในประดับด้วยกระจกและแก้วหลากสี ปัจจุบันบางส่วนยังคงเป็นที่ประทับของราชตระกูล มีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่มีค่า จากนั้นนำท่านชม ฟาเตห์ ประการห์ พาเลซ (Fateh Prakash Palace) ภายในเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีการแกะสลักสวยงาม
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
16.20     ออกเดินทางสู่เมืองมุมไบ โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่AI644(ใช้เวลาในการบิน1.30ชม)
17.50     ถึงสนามบินมุมไบ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักที่มุมไบ โรงแรม
The Orchid Hotel ระดับ4ดาว


2 ม.ค. ////วันที่แปดของการเดินทาง มุมไบ-Victoria Terminus(มรดกโลก)-ถ้ำช้าง(มรดกโลก)-ออลังกาบัด
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ชมเมืองมุมไบ เป็นเมืองของเศรษฐกิจคนดังมีฐานะเป็น ฮอลีวู้ด (บอลลีวู้ด) ของอินเดียมานาน ยังเป็นศูนย์รวมของศรัทธาความเชื่อและวัฒนธรรหลากหลาย  มุมไบมีทะเลอาระเบียนโอบล้อมอยู่สามด้านเป็นศูนย์กลางด้านการค้าพาณิชย์ของอินเดียจึงดึงดูดให้คนมากมายมาที่เมืองแห่งนี้ ชมสถานีรถไฟ Victoria Terminusออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ F.W.STEVENS เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี2004จากนั้นนำท่านชม ประตูสู่อินเดีย ( GATEWAY OF INDIA )ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำในย่านอพอลโลบันเดอร์ประตูชัยนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสที่พระเจ้าจอร์จที่ 5 และพระราชินีแมรี่ เสด็จมาร่วมงานเดลีดารบัรในปี 1911 วัสดุที่ใช้สร้างเป็นหินทรายสีน้ำผึ้ง  ยามเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและตกแสงอาทิตย์จะทาบทาลงมา ทำให้ประตูเปลี่ยนสีจากทองเป็นส้ม จากส้มเป็นชมพูสวยงามมากจากนั้น นำท่านเข้าเยี่ยมชม มรดกโลก ที่เกาะช้าง นำท่านเดินทางโดยทางเรือเพื่อเข้าชม  ถ้ำช้าง
ELEPHANTA  CAVE )ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี 1987ตั้งอยู่บนเกาะกลางอ่าว หน้าเมืองมุมไบประมาณ 1500 กว่าปีมาแล้ว กษัตริย์ราชวงศ์ไตรกูฏกะ  ปกครองดินแดนที่ราบสูงเผ่าเดคข่าน ตะวันตกของอินเดีย ได้มีรับสั่งให้ทำการสร้างถ้ำนี้ขึ้น เพื่ออุทิศถวายเป็นเทวสถานแด่องค์พระศิวะเทพ  นำท่านเคลื่อนย้ายไปยัง ท่าน้ำตรง GATEWAY OF INDIA  เพื่อทำการขึ้นเรือ โดยสารมุ่งหน้าไปยังถ้ำเกาะช้าง ( เรือไม้ขนาดไซด์บรรจุผู้โดยสารได้ถึง 50 ท่าน  จะออกจากท่าประมาณทุกๆ ครึ่งชั่วโมง )ภายหลังที่
เรือแล่นออกจากท่าน้ำ ท่านสามารถเก็บบันทึกภาพ ประตูชัยที่อยู่ติดกับ โรงแรมสุดหรู ทัชมาฮาล จากนั้น นำท่านชมภาพทิวทัศน์ของท่าเมืองมุมไบ  ตลอดเส้นทางเดินทาง ท่านจะสามารถเห็นฐานทัพเรือของอินเดีย ( จุดตรงนี้ ห้ามทำการถ่ายภาพ ) ในการเดินทางโดยทางเรือใช้เวลาประมาณ 45 นาที ผนังถ้ำส่วนแรก จะเป็นภาพสลักตอน “ศิวนาฎราช” ลักษณะพระศิวะเจ้าทรงแสดงการฟ้อนรำโดยกระบวนท่านาฏยศาสตร์108 ท่า  เพื่อให้อัฎจักรทุกสิ่งในจักวาล เคลื่อนที่ไปอย่างสมดุลกลางถ้ำ  มีประติมากรรมรูป มเหศวรตรีมูรติ “ หรือพระศิว 3 หน้าหรือ รูปปั้น  3 เศียร มีความสูงเกือบ 20 ฟีด ( TRIMURTI  ) ( ข้อมูล :   พระพักตร์ตรงกลาง เป็นพระศิวะผู้เมตตากรุณา หรือเรียกว่า “ จันทรเศษมูรติ “ พระพักตร์ทางด้านซ้าย จะเป็นพระศิวะปางดุร้าย เรียกว่า “ไภรวะ” พระพักตร์ทางด้านขวา จะเป็นใบหน้าสตรี ซึ่งหมายถึง“ พระอุมาภควดี” ซึ่งเป็นอัครมเหสีของพระองค์ )  ถัดมา นำท่านชมความงดงามของภาพ“ROYAL  WEDDING “   ระหว่างพระศิวะกับพระอุมา ( มีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนชาติพระอุมา  พระนางได้เกิดมาในนามอื่น นั่นคือพระสตี พ่อตาเกิดรังเกียจลูก เขยอีกทั้งพูดจาถากถางดูถูก พระนางสตีจึงทำการโดดเข้ากองไฟเพื่อปกป้องเกียรติของพระสวามี ต่อมาเมื่อพระศิวะทราบจึงแผลงฤทธิ์ทำการสังหารคนที่ทำให้หญิงคนรักต้องจากไปจากนั้นพระองค์ก็แบกศพของนางสตีวิ่งร่ำไห้ไปรอบจักรวาลประดุจ จะขาดใจเมื่อสิ้นนางและพระองค์ก็ไม่ทำการชายตามองหญิงอื่นใดเลย จนกระทั่งพระสตีกลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นเทพธิดาแห่งภูเขาหิมาลัย นามว่า พระอุมา “ )  ชมภาพ พระศิวะปราบอันธกาสูธ ( หมายถึง ปราบปีศาจแห่งความมืด )  ถัดมาด้าน ข้างตัวถ้ำมีโพรงใหญ่ใต้พื้น เป็นแอ่งน้ำธรรมชาติเขียวใส คนอินเดียถือว่า เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์  เพราะอยู่ใต้ถ้ำ  ได้เวลาสมควร นำท่านเดินทางกลับเข้าฝั่ง  เพื่อเคลื่อนย้ายไปยัง สนามบินเพื่อเดินทางต่อยังโดยเครื่องบินภายในประเทศสู่ออรังกาบัด
14.00     รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
17.50     ออกเดินทางสู่ออรังกาบัด โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่AI644 (ใช้เวลาในการบิน1.30ชม)
19.35    
ถึงสนามบินออลังกาบัด จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองออรังกาบัด เมืองเก่าที่มีอารยธรรมและอิทธิพลของราชวงศ์โมกุล เมืองออรังกาบัดหมายถึงเมืองที่สร้างโดยมหาราชา ตั้งชื่อตามมหาราชาออรังเซฟ จักรพรรดิองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์โมกุล เมืองออรังกาบัดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยงเชิงประวัติศาสตร์และศาสนา อาทิ ถ้ำอชันตา ถ้ำเอลโลร่า ป้อมเดาลาตาบัด บีบีกามาชค์มาร่า  นำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่ออรังกาบัด The Ambassador Ajanta ระดับ 4 ดาว

3  ม.ค. ////วันที่เก้าของการเดินทาง เมืองออรังกาบัด-หมู่ถ้ำอชันตา-บีบี กา มักบารา
เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่านเดินทางสู่ ถํ้าอชันต้า (Ajanta Cave) ระยะทางประมาณ 106 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.สู่ หมู่ถ้ำอชันตา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปีค.ศ.1983 ชมความงดงามและอลังการของสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นจากความศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยขุดเจาะภูเขาเป็นสังฆรามขนาดใหญ่แบบศิลปะคุปตะและหลังคุปตะอันวิจิตร ถํ้าอชันตา มีวัดถํ้าในพุทธศาสนาอยู่มากถึง 30 คูหา หมู่ถํ้าอชันตามีทั้งรูปประติมากรรมและงานจิตรกรรมอันวิจิตรงดงาม คงสภาพสมบูรณ์ ถํ้าถูกปิดซ่อนเอาไว้ จึงรอดพ้นจากการทำลายล้างจากกองทัพผู้รุกรานมาได้ ถํ้าอชันตายังคงไว้ซึ่งงานพุทธศิลป์อันงามวิจิตร ความวิริยะอุสาหะของช่างฝีมือและศิลปินแต่ครั้งโบราณที่พยายามสกัดหน้าผาให้เรียบ แล้วค่อยๆ เจาะหินเข้าไปเป็นคูหา ด้านในจะเห็นองค์เจดีย์ องค์พระปฏิมาและพระโพธิสัตว์ ที่จำหลักจากเนื้อหินเดียวกันละเอียดงามพลิ้ว มีการลงลายเขียนสี กลายเป็นสุดยอดภาพจิตรกรรม ที่สีสันคงทนมานานนับพันปีจากนำท่านสู่จุดชมวิว ซึ่งท่านจะสามารถเห็นถํ้าอชันตาได้อย่างชัดเจน
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
นำท่านเดินทางกลับสู่ออรังกาบาด ระหว่างทางแวะชม บีบี กา มักบารา (Bibi Ka Maqbara) หรือ ทัชมาฮาลน้อย เพราะมีลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายทัชมาฮาล สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก โดยพระโอรสของออรังเซบ ทรงสร้างเพื่อรำลึกถึงพระมารดา (พระนาง บีกัมราเบีย อุเด ดาราณี) จากนั้นนำท่านชมวัดพุทธ แห่งเมืองออลังกาบัดที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาออลังกาบัด เป็นวัดพุทธที่บริหารงานและจัดตั้งโดยชาวอินเดียเองซึ่งน่าสนใจและมีเสน่ห์ที่แตกต่างจากวัดนานาชาติตามแหล่งสังเวชนียสถาน4ตำบล แวะให้ท่านได้ช้อปปิ้ง ซื้อของที่ระลึกตามอัธยาศัย  ได้แก่ เครื่องทองเหลือง  ผ้าปักลายโบราณ  ที่จำลองมาจากผนังถ้ำ อายุ 1,200 ปี   และเครื่องประดับลวดลายแปลกตา  พร้อมชมวิวทิวทัศน์ ของดินแดนชนบททางอินเดียตอนใต้ จากนั้นนำท่านเที่ยวชมตัวเมืองออรังกาบัดในยามเย็น
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ  ภัตตาคาร ภายในโรงแรม  
พักที่ออรังกาบัด The Ambassador Ajanta ระดับ 4 ดาว

4  ม.ค. ////วันที่เก้าของการเดินทาง ออรังกาบัด-หมู่ถ้ำเอลโลร่า-ป้อมเดาลาตาบัด-ออรังกาบัด-มุมไบ
เช้า
        รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางสู่ ถํ้าเอลโลร่า (Ellora Cave) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองออรังกาบาด ระยะทางประมาณ 30 กม. ใช้เวลาประมาณ 1.45 ชม. ถํ้าเอลโลร่า ประกอบไปด้วยถํ้าทั้งหมด 34 คูหา เป็น วัดถํ้าศาสนาพุทธ (ถํ้าหมายเลข 1-12) เทวาลัยถํ้าในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู (ถํ้าหมายเลข 14-16) และวิหาร
ถํ้าในศาสนาเชน (ถ้าหมายเลข 30 และ 32) ถํ้าเหล่านี้ขุดเจาะ เข้าไปในภูผาเมื่อราว10 ศตวรรษก่อน ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ในการสร้างเทียบได้กับการแกะสลักมหาวิหารทั้งหลังจากศิลาก้อนมหึมาทั้งก้อน หมู่ถ้าเอลโลร่าแห่งนี้ ล้วนสลักเสลาขึ้นด้วยนํ้ามือมนุษย์ทั้งสิ้น ถ้ำเอลโลร่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1983
เที่ยง
      บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านเดินทางกลับสู่ออรังกาบาด ระหว่างทางนำท่านแวะชม ป้อมเดาลาตาบัด (Daulatabad Fort) ป้อมปราการโบราณรอบภูเขาดัลคีรี ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ยารวะ และถูกกษัตริย์อลาอุดดินคัลจิ ชาวมุสลิมยึดได้ในปี ค.ศ. 1296 กลายเป็นเมืองหลวงอินเดียภายใต้การปกครองของกษัตริย์มุสลิมอยู่พักหนึ่ง ก่อนถูกทิ้งร้างย้ายไปสร้างเมืองออรังกาบาด ชมซากมัสยิดที่ยังเหลือซากเสาจำนวน 106 ต้น ชมป้อมปราการ พระราชวังอายุกว่า 700 ปี จากนั้น นำท่านชม วัดกริชเณศวร ซึ่งภายในวัดประกอบไปด้วยเทวรูป พระพิฆเณ
ศวร และศิวลึงค์ จากนั้นนำท่านเดินทางกลับเมืองออลังกาบาด
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
20.20     ออกเดินทางสู่นครมุมไบ โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่ AI441(ใช้เวลาในการบิน1.10ชม)
21.30     ถึงสนามบินนครมุมไบ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พักใกล้สนามบิน
พักที่มุมไบ โรงแรม
The Orchid Hotel ระดับ4ดาว


5 ม.ค. ////วันที่สิบของการเดินทาง มุมไบ-โบพาล-มุมไบ
06.00     ออกเดินทางสู่โบพาล โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่ AI633(ใช้เวลาในการบิน1.25ชม)
07.25     ถึงสนามบินโบพาล จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ภัตตาคาร
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านชมเขตโบราณสถาน ภีมเพตกะ(Rock Shelters of Bhimbetka) ที่มีมวลหมู่ถ้ำพร้อมภาพเขียนโบราณสมัยหินใหม่กว่า500ถ้ำแบ่งได้เป็น5ยุค ไล่จากหินเก่าตอนต้นมาถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้นละยุคกลาง สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญมากที่สุดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอินเดียจนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี 2003 ได้เวลาสมควร นำท่านเดินทางกลับเมืองโบพาล นำท่านชมมัสยิด Taj-ul-Masajid ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไป เมืองสาญจี (Sanchi) ระยะทางประมาณ 60 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
นำท่านชม มหาสถูปสาญจี (Buddhist Monuments at Sanchi )เป็นสถูปโครงสร้างหินที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ในช่วงศตวรรษที่ 3 ไว้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ล้อมรอบด้วยทางเดินที่ถอดแบบมาจากวงล้อพระธรรมจักร ได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างพิเศษของพุทธศิลป์ และสถาปัตยกรรมเจดีย์รูปถ้วยผ่าครึ่ง ทำจากอิฐ และคุณลักษณะห้องกลางซึ่งไว้เก็บพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูป เจดีย์ล้อมรอบด้วยซุ้มประตู ทั้ง 4 ด้าน แต่ละซุ้มจะเป็นเรื่องของพระพุทธประวัติ โดยเริ่มต้นจาก ซุ้มประตูทางทิศใต้ แสดงเกี่ยวกับการประสูติและทศชาติชาดก ทิศตะวันออก แสดงตั้งแต่เป็นเจ้าชาย จนถึงแสวงหาการตรัสรู้ ทิศตะวันตก แสดงพระปฐมเทศนา ทิศเหนือ แสดงเกี่ยวกับพระธรรมจักร โดยปัจจุบัน มหาสถูปสาญจี และโบราณสถานใกล้เคียงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1989  โดยเราจะพาท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่เก็บดูแลรักษาพระพุทธรูปด้วย
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
21.50     ออกเดินทางสู่นครมุมไบ โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่ AI632(ใช้เวลาในการบิน1.35ชม)23.25             ถึงสนามบินมุมไบใช้เวลาในการเปลี่ยนเครื่อง2.25ชั่วโมง
6 ม.ค. ////วันที่สิบเอ็ดของการเดินทาง มุมไบ-กรุงเทพฯ
01.50
     ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่ AI330 (ใช้เวลาในการบิน4.55ชม)
18.35
     ถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพและประทับใจยิ่ง
…………………………………………………………………………………………………………….

อัตราค่าบริการ
ผู้ใหญ่พักห้องคู่หรือเด็ก 1 ท่านพักกับผู้ใหญ่ 1 ท่าน  82,900.-
ในกรณีต้องการพักห้องเดี่ยวชำระเพิ่ม   16,900.-
เด็กต่ำกว่า 12 ปี (เสริมเตียง-พักกับผู้ใหญ่อีก 2 ท่าน) 82,900.-