แกรนด์ บอลข่าน แถมเที่ยวกรีซ
เซอร์เบีย-บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา-มอนเตเนโกร
แอลบาเนีย-โคโซโว-มาซิโดเนีย-บัลแกเรีย-โรมาเนีย

13 วัน 20 ก.ย.-2 ต.ค. กันยายน ราคา 139,000

พฤ.///วันแรกของการเดินทาง กรุงเทพฯ-ดูไบ-เอเธนส์
07.00     พร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ สายการบิน  Emirates พบกับเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก
09.55     ออกเดินทางสู่ โดยสายการบิน Emirates เที่ยวบินที่ EK375(ใช้เวลาบิน6.05ชม)
13.00     เดินทางถึง สนามบินนานาชาติ ดูไบ เพื่อเปลี่ยนเครื่องต่อไปยังเอเธนส์ (เปลี่ยนเครื่อง3.20ชม)
16.20     ออกเดินทางสู่เอเธนส์ โดยเที่ยวบินที่EK103(ใช้เวลาบิน5.05ชม)
20.45     ถึงสนามบินนานาชาติเอเธนส์ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พักใกล้สนามบิน
พักใกล้สนามบิน Sofitel Airport Hotel (พิเศษอัพเกรทเป็นระดับ5ดาว)
ศ.///วันที่สองของการเดินทาง /// เอเธนส์- เบลเกรด

เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
08.25     ออกเดินทางสู่ เบลเกรด โดยสายการบิน Air Serbia เที่ยวบินที่ 513 (ใช้เวลาบิน1.45ชม.)
09.20    
เดินทางถึงสนามบินเบลเกรด
นำท่านชม เมืองเบลเกรด เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเซอร์เบีย มีการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ เมื่อ 4,800 ก่อนศริสตศักราช ที่ตั้งของเมืองก่อตั้งโดยพวกเคลท์ในศตวรรษที่ 3 ก่อนศริสตศักราช ก่อนจะกลายมาเป็นที่ตั้งโรมันแห่ง Singidunum และยังเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศยูโกสลาเวียเดิม นำท่านเข้าชม สถานที่ฝังศพของนายพลติโต้ (Tito`s grave) ซึ่งภายในจัดตกแต่งด้วยเครื่องบรรณาการจากนานาประเทศ จัดแสดงปืนและอาวุธมากมายที่ใช้ในการทำสงครามต่างๆ รวมถึงเครื่องแต่งกายของนายพลติโต ผู้นำแห่งประเทศยูโกสลาเวีย “ติโต” ชีวประวัติของโยซิป โบรซ (Josip Broz) หรือ “ติโต” ผู้นิยมพรรคคอมมิวนิสต์ต่อต้านเยอรมันและอิตาลี กับระบอบฟาสซิสม์ในโครเอเชีย ผู้ต่อสู้เพื่อชาติยูโกสลาเวีย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 “ติโต”เป็นรหัสและเป็นชื่อที่รู้จักทั่วโลก ติโตต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคทุกวิถีทาง เพื่อสร้างความเป็นไทให้แก่ยูโกสลาเวีย และที่น่าสนใจคือ ติโตเป็นคอมมิวนิสต์ “นอกแบบ” แตกต่างจากคอมมิวนิสต์อื่น นายพลติโต เป็นนักการเมืองที่สามารถสร้างความปึกแผ่นของประเทศรวมชนชาติต่างๆในยูโกสลาเวียให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีของยูโกสลาเวียด้วยความเห็นชอบของชนทุกชาติในยูโกสลาเวีย และสิ้นชีวิตไปตามอายุขัยเมื่ออายุได้ 88 ปี จากนั้นประเทศยูโกสลาเวียก็ค่อยๆ ล่มสลายลง ประวัติของติโตเป็นที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแปลบทประพันธ์ “ติโต” มาจากเรื่อง “Tito”โดย ฟิลลิส ออตี (Phyllis Auty)
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน
นำท่านเข้าชม ป้อมปราการแห่งเบลเกรด (Belgrade Fortress) จุดที่ตั้งของป้อมปราการเบลเกรดถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นจุดที่แม่น้ำ 2 สายคือ แม่น้ำซาวาบรรจบกับแม่น้ำดานูบ  ด้านซ้าย คือแม่น้ำซาวา (Sava River) ส่วนด้านขวาคือแม่น้ำดานูบ (Danube River) ตรงกลางแม่น้ำดานูบ เป็นที่ตั้งของเกาะ เวลิโค รัทโน ออสเตรอโว (Veliko Ratno Ostrvo) ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ  ป้อมแห่งนี้เป็นป้อมปราการเก่าแก่ ที่มีการก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน  ในสมัยโรมันบริเวณกรุงเบลเกรดมีชื่อว่า “ซิงกิดูนุม” (Singidunum) แต่ในปัจจุบันสิ่งก่อสร้างในสมัยโรมันเหลือเพียงกำแพงบางส่วนเท่านั้น สำหรับตัวป้อมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิออสเตรีย ซึ่งได้เข้ามาปกครองเบลเกรด นอกจากจุดนี้จะเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองเบลเกรดแล้ว ภายในป้อมปราการยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทหาร ซึ่งจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารมากมาย เช่น ปืนใหญ่, รถถัง เป็นต้น

นำท่าน เข้าชมมหาวิหารเซ็นต์ ซาวา (St. Sava Temple) ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สร้างขึ้น ณ จุดที่เชื่อกันว่า เป็นสถานที่เผาศพนักบุญซาวา ซึ่งเป็นนักบุญที่เคารพของชาวเซอร์เบีย  ตัวอาคารสูง 70 เมตร แต่ถ้ารวมไม้กางเขนทองคำด้วยก็จะมีความสูง ถึง 82เมตร ตัวอาคารเริ่มสร้างเมื่อปี 1935 แต่ก็การก่อสร้างได้หยุดชะงักลง จนกระทั่งมีการเริ่มสร้างใหม่อีกครั้งในปี 1985 จนถึงปัจจุบันอาคารภายในก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามคาดว่ามหาวิหารแห่งนี้จะสร้างเสร็จในปี 2020 โดยจะมีการสร้างลิฟท์ขนาดใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงบริเวณฐานโดมของมหาวิหารแห่งนี้ อิสระให้ท่านได้เลือกช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเบลเกรด Usce Shopping Center ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นศูนย์การค้าที่ทันสมัย และพร้อมสรรพด้วยสินค้ามากมาย อิสระให้ท่านได้เดินเล่นและเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัย
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ที่ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่ ZIRA HOTEL  หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
ส.///วันที่สามของการเดินทาง/// เบลเกรด-ซาราเยโว
เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

นำท่านเดินทางสู่ เมืองซาราเยโว (Sarajevo) (ระยะทางประมาณ 265 กม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. เนื่องจากต้องผ่านด่านระหว่างพรมแดน) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) ท่านจะได้ชมทัศนียภาพผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ และแหล่งน้ำที่เกิดตามธรรมชาติและชุดขึ้นโดยมนุษย์ ที่ใช้ในการหล่อเลี้ยงผู้คนในประเทศนี้ ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามและน่าเก็บไว้ในความทรงจำยิ่ง สำหรับเมือง ซาราเยโว เคยมีการจัดอันดับให้เมืองนี้เป็นเมืองที่น่ามาเยือนในอันดับต้นๆ เนื่องจากศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมต่างๆ ในเมืองซาราเยโว ได้รับอิทธิพลมาจาก 3 ยุคสมัยด้วยกัน คือ ยุคจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองซาราเยโวขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1450 หรือ พ.ศ. 1993   ยุคจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่บูรณะซ่อมแซมเมืองดังกล่าวขึ้นมาใหม่ หลังถูกจักรวรรดิออตโตมันที่พ่ายสงครามเผาทำลายจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และยุคที่อยู่ภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวีย (หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 – ปี ค.ศ. 1990) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่บอบช้ำอย่างหนักทั้งจากสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามบอสเนีย แต่หลังจากสงครามบอสเนียสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) เมืองซาราเยโวก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ทันที กระทั่งปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองดังกล่าวก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมและสร้างขึ้นใหม่ (ให้คล้ายของเดิม) จนแล้วเสร็จ คงเหลือเพียงอาคารเก่าแก่บางหลังที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ที่ยังคงอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซมตราบจนกระทั่งปัจจุบัน เมืองซาราเยโว นี้พึ่งได้รับการจัดอันดับจากบีเอสเอ็นนิวส์และโลนลี่ แพลนเนท ให้เป็นหนึ่งในสิบเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกประจำปี 2010 ด้วยชื่อเสียงและกิติศัพท์จากนานาชาติที่กล่าวถึง เมืองซาราเยโว จึงเคยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 1984
เที่ยง      บริการอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร
นำท่านเข้าชม War Tunnel หรืออุโมงค์แห่งสงคราม ที่ขุดขึ้นในช่วงสงครามระหว่างบอสเนียและเซอร์เบีย เมื่อครั้งที่บอสเนีย ต้องการแยกเป็นเอกราชจากยูโกสลาเวีย อุโมงค์แห่งนี้ขุดขึ้นเพื่อลำเลียงอาหาร น้ำ เวชภัณฑ์และกองกำลังทหาร ในระหว่างสงคราม เป็นอุโมงค์ที่ขุดขึ้นภายในบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งเท่านั้น แต่ขุดยาวผ่านสนามบินซาราเยโว เพื่อเป็นเส้นทางลำเลียง หลังจากที่เมืองซาราเยโว ถูกกองกำลังเซอร์เบีย โอบล้อม เพื่อไม่ต้องการให้บอสเนียเป็นเอกราช นำท่านชมวิธิทัศน์ภาพการต่อสู้และการสร้างอุโมงค์แห่งนี้ ย้อนรอยประวัติศาสตร์อันน่าสะเทือนใจ ของเมืองซาราเยโว ในช่วงสงครามบอสเนียในอดีต จากนั้นนำท่านชมกลับสู่ ย่านเมืองเก่า BASCARSIJA อดีตเคยเป็นย่านบาซาร์เก่าแก่ของยุคออตโตมัน ปัจจุบันเป็นถนนสายหลักของเมืองซาราเยโว ตั้งอยู่ในส่วนเมืองเก่าของซาราเยโว ออกแบบในสไตล์ออตโตมัน-เตอร์กิช เต็มไปด้วยร้านค้าของที่ระลึก ร้านกาแฟ บาซาร์ที่ขายสินค้าหลากหลายชนิด ย่านเมืองเก่าซาราเยโว (STARI GRAD) ย่านที่มีสถาปัตยกรรมหลากหลายสไตล์ อาทิเช่น สถาปัตยกรรมแบบบอสเนีย ออตโตมัน ออสโตร-ฮังกาเรียน เป็นต้น เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางศาสนาหลายแห่ง เช่น สุเหร่า GAZI HUSREV-BEG MOSQUE นำท่านเข้าชมความงดงามของสุเหร่าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสุเหร่าแบบออตโตมันที่สำคัญที่สุดในเมืองซาราเยโว ชมมหาวิหารประจำเมืองซาราเยโว (THE CATHEDRAL OF JESUS HEART) เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา เป็นที่ประจำตำแหน่งของพระราชาคณะของเมือง เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอ-กอธิค เริ่มสร้างในปี 1884 และแล้วเสร็จเมื่อปี 1889  นำท่านชมโบสถ์คริสต์ออโธด๊อกซ์ที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่ ภายในบริเวณเดียวกัน รวมถึงโบสถ์ของชาวยิวหรือซีนากอฟ ขนาดใหญ่ที่สร้างอยู่ภายในย่านนี้ นำท่านชมสะพานลาติน (LATIN BRIDGE) ซึ่งเป็นจุดที่อาร์ค ดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ (Franz Ferdinand) รัชทายาทแห่งราชวงศ์ออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 28 มิถุนายน 1914 โดยชาวซาราเยโวนายหนึ่ง จนกลายเป็นชนวนเหตุในการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 จากนั้นอิสระให้ท่านช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมและสินค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ที่ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่  EUROPA HOTEL หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
อา.///วันที่สี่ของการเดินทาง///โมสตาร์ เมืองมรดกโลก (บอสเนีย & เฮอร์เซโกวีนา)
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

นำท่านเดินทางสู่ เมืองโมสตาร์ (Mostar) (ระยะทางประมาณ 123 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชม) อีกหนึ่งเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในเฮอร์เซโกวีนา (Herzegovina) ภูมิภาคศูนย์กลางของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา โดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาของแม่น้ำเนเรตวา(Neretva River) สิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองนี้ก็คงจะเป็นสะพาน โบราณ (Old Bridge) หรือสตารี มอสต์ (Stari Most) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยยุคกลาง และยังคงได้รับการบำรุงรักษาและใช้งานมาได้จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้แล้ว เมืองประวัติศาสตร์โมสตาร์ ยังเป็นเมืองที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของเหล่าสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจซึ่งมีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมในหลากหลายรูปแบบ จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2005 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกให้สะพานโบราณรวมไปถึงบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงที่ใกล้เคียงที่สุดของสะพานให้อยู่ในรายชื่อมรดกโลกของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา นำท่านชมความงดงามและความเก่าแก่ของ “สะพาน โบราณ หรือ สตารี มอสต์ ” สะพานที่ถูกสร้างขึ้นจากหิน โดยมีความสูงจากระดับน้ำซึ่งวัดได้ในช่วงฤดู​​ร้อน ประมาณ 21 เมตร สะพานโบราณ สตารี มอสต์ ถูกสร้างขึ้นโดยชาวเติร์ก ในปี ค.ศ. 1566 และได้ถูกทำลายไปในปี ค.ศ. 1993 ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 สะพานเก่าและอาคารหลายหลังในเมืองเก่า ในบริเวณใกล้เคียงก็ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากคณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศของยูเนสโก
เที่ยง      บริการอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร
นำท่านชม ย่านเมืองเก่า เพื่อชื่นชมเหล่าอาคารบ้านเรือนซึ่งส่วนใหญ่ล้วนสร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมแบบพรี-ออตโตมัน ออตโตมันตะวันออก เมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันตก จากนั้นนำท่านเข้าชมบ้านตุรกีโบราณ (Turkish House) อายุกว่า 100 ปี ที่มีระเบียงสร้างออกมาชมเมืองโมสตาร์ และสร้างติดแม่น้ำ มีความสวยงามมาก ให้ท่านได้ลิ้มลองกาแฟตุรกี หรือ เตอร์กิช คอฟฟี่ ที่ปรุงสรรจากทายาทเจ้าของบ้านรุ่นต่อรุ่น อิสระให้ท่านชื่นชมความงาม และของมีค่าที่จัดวางไว้ภายในบ้าน ได้เวลา นำท่านชม “มัสยิดโกสกี้ เมห์เมด ปาซ่า” (Koski Mehmed Paša Mosque) มัสยิดออตโตมันขนาดเล็ก ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1617 สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของมัสยิดคือหอคอยสุเหร่าที่ตั้งสูงตระหง่านเหนือตัวเมือง หากขึ้นไปหอคอยสุเหร่าที่จะเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองได้ไกลถึง 3 กิโลเมตร
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ที่ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่ซาราเยโว  HOTEL BRISTOL MOSTAR หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
จ.///วันที่ห้าของการเดินทาง/// กอเตอร์ (มอนเตเนโกร)–บุดวา

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองกอเตอร์ (Kotor) (ระยะทางประมาณ 168 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชม.)เมืองชายฝั่งทะเลแสนสวยอีกเมืองของมอนเตเนโกร ประเทศซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ไข่มุกแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน” โดยประเทศสาธารณรัฐมอนเตเนโกรนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลเอเดรียติค ถึงแม้สถานที่โดยรวมของประเทศจะมีขนาดเล็กมาก แต่ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ชายหาดอ่อนละมุนคลื่นสงบไม่รุนแรงจนเกินไป ทะเลสาบน้ำเงินเข้มใส แม่น้ำใสไหลเชี่ยวและภูเขาสวยสง่า บางแห่งจะเห็นเป็นฟยอร์ดสูงตระหง่านตระการตา
เที่ยง      บริการอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร

นำท่านชมความงดงามของ เมืองกอเตอร์ ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้เป็นมรดกโลกด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม เป็นเมืองที่สร้างภายในกำแพงสูง (City Wall) ซึ่งแบ่งตัวเมืองเป็น 2 ส่วนคือ เมืองเก่า (Old town) และเมืองใหม่  โดยกำแพงเมืองแห่งนี้สร้างโดยชาวเวนิส อีกทั้งสถาปัตยกรรมในเมืองส่วนใหญ่ยังได้รับอิทธิพลจากชาวเวนิสเช่นกัน นำท่านชมความงามของ โบสถ์เซ็นต์ไทรฟอน (Cathedral of Saint Tryphon) ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1166 ภายในตัวเมืองเก่า อิสระให้ท่านเดินเล่นและชมความงามภายในตัวเมืองเก่า หรือเลือกซื้อของฝากที่ระลึกตามอัธยาศัย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองบุดวา (Budva) (ระยะทาง 35 กม. ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที) เมืองโบราณอีกแห่งของประเทศมอนเตเนโก ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ทางตอนใต้ของประเทศ เมืองบุดวาเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของมอนเตเนโกร และยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมและรีสอร์ทมากมาย เมืองบุดวา สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5 เคยเป็นเมืองขึ้นของชาวเวนิส กว่า 400 ปี จึงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของชาวเวนิส อย่างไรก็ตามในสมัยศตวรรษที่ 18 มอนเตเนโกรเคยตกเป็นเมืองขึ้นของ อาณาจักรออตโตมัน ครั้งเรืองอำนาจในแถบคาบสมุทรบอลข่าน นอกจากนี้เมืองบุดวาเป็นอีกเมืองที่เป็นที่จับจ้องของประเทศล่าอาณานิคมต่างๆทั้ง ฝรั่งเศส, ออสเตรีย และ รัสเซีย และในปี 1918 ตกเป็นของประเทศยูโกสลาเวีย นำท่านชมความงามภายในตัวเมืองเก่า หรือ Stari Grad (Old Town) และนำท่านชม โบสถ์เซ็นต์จอหน์ (Church of Saint John) ซึ่งภายในโบสถ์มีภาพไอคอนพระแม่มารี “Madonna in Punta”ประดิษฐานในโบสถ์แห่งนี้ อิสระให้ท่านเดินเล่น ถ่ายรูปและเลือกซื้อของฝากตามอัธยาศัย ได้เวลานำท่านเดินทางสู่ เมืองพอดกอรีซกา (ระยะทางประมาณ 54 กม. ใช้เวลาเดินทาง 45 นาที)
ค่ำ          บริการอาหารค่ำ ที่ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่บุดวา  HOTEL BRISTOL หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
อ.///วันที่หกของการเดินทาง/// พอกอรีซกา (มอนเตเนโกร)-ทีราน่า(แอลบาเนีย)
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชมความงามของเมืองพอดกอรีตซา เมืองหลวงของประเทศตั้งซึ่งอยู่บนที่ราบ ระหว่างเทือกเขา ไดนาริก แอลป์ (Dinaric Alps) และทะเลสาบสูทารี่ (Lake Scutari) นำท่านผ่านชม อนุสาวรีย์กษัตริย์นิโคลา (Monument of King Nikola) ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามรัฐสภามอนเตเนโกร (Montenegro`s parliament) จากนั้นนำท่านสู่ จัตุรัส Trg Republike ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมือง ศูนย์รวมร้านค้าต่างๆมากมาย ได้เวลานำท่านสู่โบสถ์ The Cathedral of the Resurrection of Christ ซึ่งเป็นโบสถ์ออโทด็อกซ์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในปี 1993 โดยความร่วมมือระหว่างมอนเตเนโกร และ เซอร์เบีย
เที่ยง      บริการอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่  ประเทศแอลบาเนีย เมืองทีราน่า (ระยะทางประมาณ 160 กม. ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชม.) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแอลบาเนียที่อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองนี้ถูกก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1614 โดย สุไลมาน ปาชา (Sulejman Pasha) และทีราน่าได้ถูกตั้งเป็นเมืองหลวงของประเทศเมื่อปี ค.ศ.1920 เขตเมืองของทีราน่าตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิเชม (Ishëm) มียาวประมาณ 32 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 110 เมตร และจุดสูงสุดวัดได้ที่ 1,828 เมตร ที่บริเวณมาลีเมโกรปา นำท่านชมความสวยงามของตัวเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ที่มีการตกแต่งให้สวยงาม ให้ท่านชม จัตุรัสสแกนเดอร์เบค (Skanderbeg Square) ชมหอคอยนาฬิกา (Clock Tower) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอายุมากและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1820 ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นที่ตั้งจุดศูนย์กลางของเมืองและได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทีราน่าอีกด้วย และสิ่งก่อสร้างที่อยู่ใกล้กันก็คือ สุเหร่าเอทเฮม เบย์ (Et’hem Bey Mosque) ซึ่งได้ใช้เวลาก่อสร้างถึง 28 ปีจนสำเร็จเรียบร้อยในปี ค.ศ.1821 ภายในถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสุเหร่าที่มีความสวยงามที่สุดในแอลบาเนีย นำท่านไปชม ปิรามิด้า (Piramida) ซึ่งมีรูปทรงคล้ายกับปิรามิด ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1987 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมแห่งชาติ
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักที่ทีราน่า  HOTEL TIRANA INTERNATIONAL หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
พ.////วันที่เจ็ดของการเดินทาง///เมืองทีราน่า-พริซเร่น(โคโซโว)
เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม   
นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองพริซเร่น (PRIZREN) ที่ตั้งอยู่ทางเหนือ ระยะทางห่างประมาณ 180 กม. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม. เมืองพริซเร่น (ที่ในอดีตเคยเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเซอร์เบีย) เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ของโคโซโวซึ่งอยู่ติดกับมาซีโดเนียและแอลบาเนีย ซึ่งประชาชนส่วนมากจะเป็นชาวแอลบาเนียน ตัวเมืองจะตั้งอยู่บนส่วนลาดชันของภูเขาซาร์ นำท่านเดินทางข้ามพรมแดนไปยังโคโซโวสู่ เมืองพริชเร่น
เที่ยง
      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

นำท่านเดินเที่ยวชมเมืองพริซเร่น บริเวณรอบๆ River Bistrica ที่อยู่กลางเมือง เริ่มจาก Sinan Pasha Mosque หรืออนุสาวรีย์ในยุคของกษัตริย์ออตโตมานที่ 16 และยังมีอนุสาวรีย์ของกษัตริตย์ในยุคออตโตมันอีกแห่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกันคือ Gazi Mehment Hamam ซึ่งสถานที่แห่งนี้ได้จัดเป็น Art Gallery ไปแล้วในปัจจุบัน นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองสโคเพีย (SKOPJE) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมาซีโดเนีย ที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้ ระยะทางห่างประมาณ 80 กม.
ค่ำ
          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักที่พริซเร่น  HOTEL THERANDA หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว

พฤ.///วันที่แปดของการเดินทาง///สโคเพีย-รีล่า-โซเฟีย

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

เมืองสโคเพีย เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของมาซิโดเนียเป็นศูนย์กลางทางการเมือง ทางวัฒนธรรม และทางเศรษฐกิจของประเทศ ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเซอร์เบียและบัลแกเรีย ในอดีตสันนิษฐานว่ามีการตั้งถิ่นฐานที่สโคเพียตั้งแต่ 4000 ปีก่อนคริสตกาล นำท่านไปชม ป้อมปราการคาเล่ (Kale Fortress) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่สูงของเนินเขาในหุบเขาสโคเพียและเป็นจุดที่ชมเมืองสโกเพียได้สวยงาม ส่วนของป้อมปราการที่เป็นส่วนเก่าที่สุดมีความยาวประมาณ 121 เมตร เป็นการสร้างในรูปแบบที่นำก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตบแต่งเรียบร้อยและนำมาไว้ด้านนอก และส่วนด้านในจะเป็นหินก้อนเล็กถูกสร้างขึ้นโดยในราวศตวรรษที่ 6 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งไบแซนไทน์ ผู้ที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่หมู่บ้านทาโอเรียนใกล้กับกรุงสโคเพีย หลังจากเมื่อปี ค.ศ. 518 เมืองนี้และสิ่งโบราณสถานหลายแห่งได้ถูกทำลายโดยการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จึงทำให้องค์จักรพรรดิฯ ได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างให้กับบ้านเกิดของพระองค์ จึงได้เริ่มก่อสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาหลายอย่าง นำท่านไปชม สะพานหิน (Stone Bridge) ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 6 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งไบแซนไทน์เช่นเดียวกัน สะพานนี้มีความยาวประมาณ 214 เมตรและส่วนโค้งที่ใต้สะพาน 13 ช่อง ซึ่งจักรพรรดิที่ได้เข้ามาปกครองก็ได้พยายามทำการก่อสร้างเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นที่ระลึก นำท่านไปยัง พอร์ต้า มาซีโดเนีย (Porta Macedonia) ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นประตูชัยตั้งอยู่ที่จัตุรัสเพลล่า และเพื่อเป็นการประกาศอิสรภาพของมาซีโดเนียที่มีมา 20 ปี ซึ่งพื้นผิวภายนอกของประตูชัยนี้ได้ถูกตบแต่งด้วยหินอ่อนและมีการทำลวดลายให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของชาติฯ และภายในก็ยังมีห้องที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามพร้อมกับห้องขายของที่ระลึกอีกด้วย นำท่านไปชมความสวยงามของ จัตุรัสมาซิโดเนีย (Macedonia Square) พร้อมกับชม อนุสาวรีย์อเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวง เป็นรูปปั้นที่อเล็กซานเดอร์มหาราชกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าคู่ใจในการออกศึกทำสงครามที่มีชื่อว่า บูซาเฟลัส อนุสาวรีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงที่ประเทศได้รับเอกราชมา 20 ปีและเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี ค.ศ.2011 อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่บนกลางน้ำพุ ซึ่งตรงกลางมีเสาทรงกลมที่มีฐานด้านบนสูงถึง 10 เมตร และรูปปั้นตั้งอยู่บนเสารูปทรงกลมที่สูง 4.5 เมตร ส่วนของเสาประกอบไปด้วยสามส่วนของการตกแต่งด้วยงาช้างที่ได้แกะสลักภาพอันสวยงามทางด้านประวัติศาสตร์และสลับกับรูปแหวนที่ทำด้วยบรอนซ์ และนอกจากนั้นยังการตกแต่งรอบบริเวณน้ำพุด้วยเสาบรอนซ์ที่สูงถึง 3 เมตรด้วยรูปทหารแปดคน มีรูปสิงโตที่เป็นบรอนซ์แปดตัวที่มีความสูงถึงตัวละ 2.5 เมตร และสิงโตสี่ตัวยังพ่นน้ำออกมา และที่สำคัญน้ำพุแห่งนี้สามารถที่จะเปลี่ยนรูปได้ตามเสียงเพลงอีกด้วย

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองรีล่า (RILA) เมืองรีล่า เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นภูเขาสูงที่สุดของบัลแกเรียและเทือกเขาบอลข่าน โดยมียอดเขาชื่อ มาซูล่า (Masula) สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,925 เมตร นำท่านไปชม อารามมรดกโลกรีล่า (Rila Monastery) เป็นอารามของคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดและมีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดของบัลกาเรีย ตั้งอยู่บนจุดที่มีทิวทัศน์สวยงามของภูเขารีล่า ที่ระดับความสูง 1,147 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำริลสก้าและดรุสย่าวิทซ่า ที่ไหลอยู่เบื้องล่างได้อย่างสวย และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1983 ชมความสวยงามของวิหาร ที่ก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 โดย นักบุญจอห์นแห่งรีลา (St. John of Rila) ผู้ถือสันโดษและใช้ชีวิตเข้าเงียบในถ้าและได้รับยกย่องเป็นนักบุญโดยนิกายออร์โธดอกซ์ อาศรมและหลุมศพของท่านกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และได้กลายเป็นอารามซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านจิตวิญญาณและสังคมของบัลแกเรียยุคกลาง อารามนี้ถูกทำลายด้วยไฟไหม้ในตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 และได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ระหว่างคริสต์ศักราช 1834-1862 รูปแบบของอารามเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของศิลปะสมัยบัลแกเรียน เรอเนสซองส์ ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 และเป็นสัญลักษณ์แห่งการตระหนักรู้ถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม สลาวิค (Slavic) หลังจากที่ตกอยู่ใต้การปกครองของชนชาติอื่นมานับหลายศตวรรษ อารามรีล่า ถือเป็นเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบัลแกเรีย และเป็นจุดหมายในการเดินทางแสวงบุญของคริสต์ศาสนิกชนในนิกายออร์โธดอกซ์จากทั่วโลกที่ นักบุญเซนต์อิวาน ริลสกี้ (St.Ivan Rilski) แห่งอารามรีล่า ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการต่อสู้เรื่องการกดขี่ทางชาติพันธุ์ในสมัยการยึดครองของจักรวรรดิออตโตมัน อารามแห่งนี้ถือเป็นอนุสรณ์สถานของสถาปัตยกรรมและความมั่งคั่งของวัฒนธรรมและศิลปะของบัลแกเรีย สัญลักษณ์รูปเคารพ (Icon) ที่อารามนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดและทาด้วยทองคำแท้เพียงแห่งเดียวในบัลแกเรีย นอกจากนี้อารามเป็นแหล่งสะสมทรัพย์สมบัติและวัสดุวรรณกรรมอายุกว่าร้อยปี อีกเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองโซเฟีย (SOFIA) ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านเหนือ ระยะทางห่างประมาณ 100 กม. กรุงโซเฟีย เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐบัลกาเรีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องจำนวนประชากรเป็นอันดับที่ 47 ของสหภาพยุโรป ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาวีโตชาทางด้านตะวันตกของบัลแกเรีย เป็นเมืองศูนย์กลางของการขนส่งสินค้าทางบกที่สำคัญของคาบสมุทรบอลข่าน ในอดีตกว่า 2,400 ปี เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าเซลติค และมีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ในราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ซึ่งมีชื่อเรียกเมืองนี้ว่า เซอร์ดิก้า (Serdica) ที่มาจากชนเผ่าเซอร์ดีที่มาตั้งถิ่นฐานที่บริเวณแห่งนี้
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
เมืองโซเฟีย พักที่ HOTEL RAMADA หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
ศ.///วันที่เก้าของการเดินทาง/// โซเฟีย-เอเธนส์

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

นำท่านไปชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบัลแกเรีย (National Museum of History) ชมประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาวบัลแกเรียน มีสิ่งของต่างๆอันล้ำค่าหายากมากมายที่จัดแสดงให้ชม ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ซึ่งครั้งแรกได้ถูกสร้างเพื่อให้เป็นรูปแบบของงานแสดงสินค้าและต่อมาได้ถูกเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1984 เพื่อเป็นการระลึกถึงในด้านประวัติศาสตร์ของบัลกาเรียครบ 1300 ปี ซึ่งภายในได้มีการสะลมสิ่งของโบราณประมาณ 650,000 ชิ้น ซึ่งประกอบไปด้วยด้านโบราณคดี ศิลปะที่ประณีตและหายาก ประวัติศาสตร์และเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษ นำท่านไปชม อาคารรัฐสภา (Parliament Building) ซึ่งมีคำขวัญที่ผูกใจอยู่เหนือประตูทางเข้าเป็นภาษาบัลกาเรีย ที่มีความหมายว่า รวมกันทำให้เราแข็งแกร่ง (United we are strong) ตึกหลังนี้ได้รับการบูรณะหลังจากที่ได้รับความเสียหายหลายครั้งซึ่งครั้งสุดท้ายได้ถูกบูรณะขึ้นโดยสถาปนิกชาวบัลแกเรีย คอนสแตนติน อิวาโนวิช
เที่ยง
      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านไปชม โบสถ์เซนต์โซเฟีย ซึ่งเป็นโบสถ์คริสตจักรที่อยู่ใกล้ๆกันได้อีกด้วย จากนั้นนำท่านชมอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสวยงาม และยังได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ยิวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ และใหญ่เป็นอันดับสามในทวีปยุโรป โบสถ์ยิวโซเฟีย (The Sofia Synagogue ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่อยู่ใกล้กับตลาดกลาง โดยโบสถ์แห่งนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ Moorish Revival ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง ฟริดริช กรูนันเกอร์ (Friedrich Grünanger) นำท่านไปชม มหาวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (Alexander Nevsky Cathedral) ซึ่งถือเป็นมหาวิหารคริสตจักรนิกายออร์โธด๊อกซ์ที่ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก มหาวิหารนี้มีรูปแบบการก่อสร้างของนีโอไบแซนไทน์ ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิค อเล็กซานเดอร์ โพมีรานท์เซฟ เป็นมหาวิหารที่การก่อสร้างในแบบโดมหลังคาทรงกลมสีเขียวที่มีความสูงถึง 53 เมตร ตกแต่งด้วยหินอ่อนที่วิจิตรตระการตา ภายในมีเนื้อที่ประมาณ 3,170 ตรม.ซึ่งสามารถจุผู้เข้าทำพิธีได้ประมาณ 10,000 คน นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองโบยาน่า (BOYANA) ที่ตั้งอยู่ที่บริเวณชานเมืองโซเฟีย ให้ท่านชม วิหารโบยาน่า (Boyana Church) ประกอบด้วยอาคาร 3 หลัง โบสถ์ตะวันออก สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 จากนั้นมีการขยายอาคารในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ตอนต้น โดย เซบาสโตคราโต คาโลยัน (Sebastocrato Kaloyan) ผู้ซึ่งสั่งให้มีการก่อสร้างอาคาร 2 ชั้นหลังใหม่ขึ้นทางด้านข้าง ภาพจิตรกรรมปูนเปียก (Fresco) ในโบสถ์หลังใหม่ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ.1259 เป็นหนึ่งในภาพจิตรกรรมยุคกลางที่สำคัญที่สุด โบสถ์หลังที่ 3 สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตอนต้น กลุ่มอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถานที่มีความสมบูรณ์และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของศิลปะยุคกลางในยุโรปตะวันออก และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1979
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
22.00     ออกเดินทางสู่เอเธนส์ โดย Aegean Airlines  เที่ยวบินที่983 (ใช้เวลาบิน1.15ชม)
23.15     ถึงสนามบินนานาชาติเอเธนส์ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พักใกล้สนามบิน
พักใกล้สนามบิน Sofitel Airport Hotel (พิเศษอัพเกรทเป็นระดับ5ดาว)
ส.///วันที่สิบของการเดินทาง///เอเธนส์-บูคาเรสต์
บราซอฟบรานซินาญ่า
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

08.35     ออกเดินทางสู่เอเธนส์ โดย Aegean Airlines  เที่ยวบินที่ 960 (ใช้เวลาบิน1.35ชม)
10.00     ถึงสนามบินนานาชาติบูคาเรสต์ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พักใกล้สนามบิน
เมืองบูคาเรสต์ เป็นเมืองหลวง เมืองอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศโรมาเนีย เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโรมาเนีย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศที่และตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแดมโบวิตา มีประชากรอยู่ประมาณ 2 ล้านคน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหภาพยุโรป นับจากจำนวนประชากรในเขตจำกัดเมืองด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นเมืองที่เจริญมั่งคั่งที่สุดในโรมาเนีย และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและการขนส่งของยุโรปตะวันออก เป็นเมืองหนึ่งที่ร่ำรวยที่สุดและครอบคลุมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการประชุมการศึกษา งานทางด้านวัฒนธรรมช็อปปิ้งอาเขต และบริเวณสันทนาการ นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองบราซอฟ (BRASOV) ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือ ระยะทางห่างประมาณ 190 กม. เมืองบราซอฟ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งแคว้นทรานซิลวาเนีย แคว้นที่สวยงามและมีชื่อเสียงของโรมาเนีย แคว้นนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่12 โดยชาวแซกซอนส์ซึ่งเคยถูกปกครองโดยชนชาติเยอรมันและเป็นศูนย์กลางการค้าของชาวแซกซอนส์ อาคารโดยทั่วไปจึงตกแต่งตามสไตล์เยอรมัน นำท่านชมความสวยงามของเมืองที่ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความงดงาม ซึ่งมีชาวโรมาเนียนอาศัยอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ส่วนชาวฮังกาเรียนอยู่ทางด้านตะวันออก พวกเยอรมันอาศัยอยู่ทางด้านเหนือและรอบๆตัวเมือง นำท่านชมโรงเรียนแห่งแรกของประเทศโรมาเนีย (Romanian First School) ชมย่านใจกลางเมืองและจัตุรัสกลางเมืองซึ่งมีหอนาฬิกาที่สวยงามสูงโดดเด่น ที่แสดงเวลาให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา
เที่ยง
      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านเข้า ชมโบสถ์ดำ (Black Church) เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งจัดเป็นโบสถ์สถาปัตยกรรมโกธิคที่ใหญ่ที่สุดของโรมาเนีย ซึ่งในเริ่มแรกไม่ได้มีหลักฐานแน่นอนว่าถูกสร้างเมื่อใด แต่ได้สร้างขึ้นให้เป็นโบสถ์โรมันคาธอลิคเพื่ออุทิศให้พระแม่มารี เพื่อทดแทนโบสถ์หลังเก่าที่มีการปฏิรูปสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1383-1385 หลังจากที่ถูกพวกมองโกลบุกเข้ามาทำลายเมื่อปี ค.ศ.1242 และปี ค.ศ. 1477 ก็ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นอีกหลังจากที่พวกเตอร์กิสบุกเข้าทำลายในปี ค.ศ.1421 จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองบราน (BRAN) ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออก ระยะทางห่างประมาณ 30 กม. เมืองบราน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากอีกเมืองหนึ่งของโรมาเนีย เมืองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นที่อยู่ของแวมไพร์หรือแดร๊กคูล่า นำท่านเข้าชม ปราสาทบราน (Bran Castle) หรือที่รู้จักกันในนามของปราสาทแดร๊กคูล่า(Dracula’s Castle) ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นในในศตวรรษที่ 14 เป็นปราสาทที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในโรมาเนีย ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมควบคุมเส้นทางการค้าและเก็บภาษีระหว่างแคว้นวาลันเซียและแคว้นทรานซิลวาเนีย ภายในตัวปราสาทมีห้องต่างๆมากมาย ซึ่งจัดแสดงวิถีความเป็นอยู่ ห้องแสดงอาวุธโบราณ ตู้โบราณอายุหลายร้อยปีที่แกะสลักลวดลายสวยงดงาม นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้อีกมากมาย ให้ท่านได้ชมและถ่ายรูปตามอัธยาศัย นำท่านเดินทางสู่ เมืองซินาญ่า (SINAIA) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ระยะทางห่างประมาณ 45 กม. เมืองซินายา ตั้งอยู่ในจังหวัดพราโฮว่าและเป็นพื้นที่ทางด้านประวัติศาสตร์ของมันเทเนีย มีชื่อเสียงทางด้านเป็นเนินเขาสูงที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 760 -860 เมตรและเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ทอีกด้วย
ค่ำ
          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
เมืองซินาญ่า พักที่
HOTEL NEW MONTANAหรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
อา.///วันที่สิบเอ็ดของการเดินทาง/// เมืองซินาญ่า-กรุงบูคาเรสต์
เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านเข้าชม วิหารซินาญ่า (Sinaia Monastery) ซึ่งเป็นวิหารคู่เมืองซินาญ่าในรูปแบบศิลปะไบเซนไทน์ ภายในมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าชายมิเฮลหลังจากที่ได้เสด็จกลับจากทำพิธีจาริกแสวงบุญภูเขาซียาย วิหารหลังแรกได้ถูกสำเร็จในปี ค.ศ. 1690-1695 มีพระจำวัดอยู่ 12 องค์ และในระหว่างสงครามรัสเซียเตอร์กิส ปี ค.ศ.1735-1739 โดยพวกออตโตมานก็บุกเข้าทำลายและเผา ส่วนพวกพระก็ได้นำสิ่งของมีค่าต่างๆฝังไว้ใต้ระฆังใหญ่ จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ปราสาทเปเลส (Peles Castle) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาบูเซกิใกลักับเมืองซินาย่า เป็นปราสาทที่ประทับในฤดูร้อนของกษัตริย์ ปราสาทแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทอีกแห่งที่สวยที่สุดในโลก เนื่องจากตั้งอยู่กลางป่าสนบนเทือกเขาคาร์เปเทียน ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าชายคาลอสที่ 1 กษัตริย์แห่งโรมาเนียในสมัยศตวรรษที่ 19 ใช้เวลาสร้างนานถึง 10 ปี โดยเริ่มปี ค.ศ.1873-1973 ความงดงามของปราสาทแห่งนี้ มิใช่อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของตัวปราสาทแต่อยู่ที่การตกแต่งภายในอย่างหรูหรางดงาม เป็นปราสาทที่รวบรวมงานศิลปะที่สวยงามมากมายจากประเทศต่างๆ ในยุโรป เช่น โคมไฟระย้าจากอิตาลีรูปภาพติดผนังจากฝรั่งเศส ฯ ได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางกลับสู่เมืองหลวงบูคาเรสต์ ระยะทางห่างประมาณ 130 กม.

 เที่ยง     รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านชม กรุงบูคาเรสต์ ที่ได้รับสมญานามว่า ปารีสน้อยแห่งยุโรปตะวันออก เนื่องจากในสมัยก่อนชนชั้นสูงของโรมาเนียนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนที่ฝรั่งเศส จึงได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมฝรั่งเศสทั้งในด้านแฟชั่นและศิลปะรวมทั้งสถาปัตยกรรมซึ่งยังปรากฏให้เห็นอย่างมากมาย เช่น ประตูชัยของโรมาเนีย ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 นำท่านชม จัตุรัสแห่งการปฏิวัติ (Revolution Square) โอเปร่าเฮ้าส์ (Opera House) โรงทหารแห่งชาติ (National Military Academy) ผ่านชมประตูชัย ซึ่งตั้งอยู่บนถนนคิสเซเลฟ ซึ่งสร้างเลียนแบบประตูชัยในกรุงปารีส สถาปัตยกรรมแบบโรมาเนีย (Romanian Athenaeum)
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
20.50
     ออกเดินทางสู่เอเธนส์ โดย Aegean Airlines  เที่ยวบินที่ 963 (ใช้เวลาบิน1.35ชม)
20.25
     ถึงสนามบินนานาชาติเอเธนส์ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พักใกล้สนามบิน
พักใกล้สนามบิน Sofitel Airport Hotel (พิเศษอัพเกรทเป็นระดับ5ดาว)
จ.///วันที่สิบสองของการเดินทาง/// เอเธนส์-ดูไบ

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านสู่ อะโครโปลิส Acropolisซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงเด่นในกรุงเอเธนส์ ชม วิหารพาร์เธนอน Parthenon ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ 447-432 ก่อนคริสตกาล โดยสถาปนิคตินุส และแคลลิเครติส วิหารพาร์เธนอนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพีอาเธน่า นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเมืองเอเธนส์นี้ตั้งชื่อตามเทพีเอธีนา Athena เป็นเมืองที่มีอารยธรมอันเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกตะวันตก ชม วิหารอีเรคธีอุม เพื่อเป็นอนุสาวรีย์แห่ง อีเรคธีอุม ในเทพนิยายกรีกเมื่อสงครามเพลอปปอนเนเซีย มีรูปแกะสลักหญิงสาว 6 คน ถูกลงโทษให้กลายเป็นเสาหินค้ำยันวิหาร นอกจากนี้ยังคงมีสิ่งก่อสร้างที่เป็นสาธารณะ อาทิ โรงละคร หรือ โอเดีย, แท่นบูชาเทพเจ้าซุสที่เพอกามัม, อะกอร่า หรือย่านชุมชนเช่นเดียวกับตลาด, สนามกีฬากลางแจ้ง
เที่ยง      บริการอาหารกลางวัน ที่ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านนั่งรถชมเมืองหลวงของประเทศกรีซ ผ่านชมรัฐสภา พระราชวังหลวง ปัจจุบันเป็นที่พำนักของประธานาธิบดี โรงละครแห่งชาติ ผ่านชมมหาวิทยาลัยเอเธนส์ที่ชื่อเสียง ชม สนามกีฬาแพนอเธอร์นิค โอลิมปิคสเตเดี้ยม Pan Athenaic Loympic ลอดผ่านซุ้มประตู Hadrian’s Arch เป็นต้น จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
22.00     ออกเดินทางสู่เอเธนส์ โดยAegean Airlinesเที่ยวบินที่ 983
23.15     ถึงสนามบินนานาชาติเอเธนส์ จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พักใกล้สนามบิน
อ.///วันที่สิบสามของการเดินทาง///ดูไบ-กรุงเทพฯ
02.50     ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพด้วยเที่ยวบินที่ EK384 (ใช้เวลาในการบิน6.40ชม)
12.30     เดินทางกลับถึง สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยความสวัสดิภาพและความประทับใจ มิรู้ลืมเลือน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
อัตราค่าบริการ

ผู้ใหญ่พักห้องคู่หรือเด็ก1 ท่านพักกับผู้ใหญ่1 ท่าน 139,000.-
ในกรณีต้องการพักห้องเดี่ยวเพิ่มท่านละ 19,000.-
เด็กต่ำกว่า12 ปี (เสริมเตียง-พักกับผู้ใหญ่อีก2 ท่าน) 139,000.-