เส้นทางใหม่มรดกโลกลาตินอเมริกา
อาร์เจนติน่า-โบลิเวีย-ปารากวัย-อุรุกวัย-บราซิล
20 วัน 12-31 ส.ค. ราคา 299,000

12 ส.ค./// วันแรกของการเดินทาง /// กรุงเทพฯ-อัมเตอร์ดัม-บัวโนสไอเรส
09.30
  คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์สายการบิน KLM โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก
12.15  ออกเดินทางสู่อัมเตอร์ดัม (AMS) โดยเที่ยวบินที่KL876 (ใช้เวลาในการบิน12.10ชม.)
(บริการอาหารเที่ยงบนเครื่องบิน)
18.20
  ถึงอัมเตอร์ดัม พักเปลี่ยนเครื่องเป็นเวลา 2.35 ชม
20.55   ออกเดินทางสู่บัวโนสไอเรส ด้วยเที่ยวบินที่
KL701 (ใช้เวลาในการบิน 16.00ชม.)

13 ส.ค./// วันสองของการเดินทาง ///บัวโนสไอเรส-มอนเตดิเวโอ
05.55    ถึงกรุงบัวโนสไอเรส Buenos Aires (Ministro Pistarini International Airport)
เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านชมเมืองบัวโนส ไอเรส ย่านใจกลางเมืองที่เรียกว่า “ซองโตร” ย่านพลาซ่า เดอ มายอ (Plaza de Mayor) บริเวณที่ตั้งทำเนียบรัฐบาล ตึกรัฐสภา ชมทำเนียบประธานาธิบดีหรือที่มีชื่อเรียกว่า “ลา คาซา โรซาดา” (La Casa Rosada ) แปลว่าบ้านสีชมพูหรือบ้านสีกุหลาบ เพราะใช้หินสีชมพูก่อสร้าง ตั้งตระหง่านอยู่หน้าจัตุรัสมาโย ท่านจะได้เห็นมุขระเบียงที่ครั้งหนึ่ง เอวิต้า เปรอง ยืนกล่าวสุนทรพจน์กับชาวอาร์เจนติน่า และชมศาลาว่าการเมืองทรงโคโลเนี่ยล ลา กาบิลด้า (La Cabilda) ที่งดงาม และโรงอุปรากร “เดอาโตร โกลอน” เป็นที่แสดงบัลเล่ต์และวงซิมโฟนี่ เป็นที่ที่นักแสดงทุกคนใฝ่ฝันที่จะก้าวขึ้นเวทีแห่งนี้ ชมมหาวิหารใหญ่ โรเซอแรตต้า ที่ฝังศพของนายพลโฮเช่เดอ ชานมาร์ดิน ผู้กอบกู้อิสรภาพแห่ง อาร์เจนติน่า ชมทหารยามที่แต่งกายในเครื่องแบบเกรอนนาดิเยร์ อย่างสง่างามหน้าวิหารจากนั้นนำท่านเดินชม ถนนพฤษภาคม May Avenue ณ จุดบรรจบกันของบ้านสีกุหลาบและรัฐสภา ชมหมู่อาคารทรงย้อนยุคแบบอาร์ตนูโว โรงแรมโบราณ โรงละคร และร้านกาแฟชื่อดัง คาเฟ่ตอร์โตนี่ Café Tortoni ที่ซึ่งเหล่าปัญญาชนและศิลปินชอบมาสังสรรค์ และชมเสาโอเบลิส์คObelisk (El Obelisco) ถูกสร้างขึ้น ในปี 1936 ณ. ส่วนกลางของ Avenida9
de Julio ใน Buenos Aires เป็นสถานที่ที่ธงอาร์เจนตินาถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก เป็นที่จัดประชุมทางการเมือง เป็นที่จัดงานดนตรี และเป็นสถานที่ฉลองชัยชนะของทีมฟุตบอลอาร์เจนตินาสถานที่ต่อมาที่จะพาท่านไปก็คือ ตลาดซันเดย์ ย่านซาน เตลโม San Telmo บนถนนโบราณที่ปูด้วยหิน ผ่านจตุรัสโดเรโก้ Dorrego Square เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับนักท่องเที่ยว แหล่งช๊อปปิ้งรวมของศิลปะ หัตถกรรมชาวพื้นเมือง และของโบราณ รวมไปถึงการแสดงพื้นเมืองและการดนตรีของชาวโบฮีเมี่ยนและเหล่าศิลปิน การเต้นรำจังหวะ Tango (แทงโก้) และความสนุกสนานของนักท่องเที่ยวยามราตรี จากนั้นเดินทางสนามบินAPE
13.00
     ออกเดินทางสู่ มอนเตดิเวโอ ประเทศอุรุกวัย โดยสายการบิน Aerolineas Argentinas  เที่ยวบินที่  2394 (ใช้เวลาบิน45นาที)
13.45    เดินทางถึงมอนเตดิเวโอ ประเทศอุรุกวัย
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางไปยัง พลาซ่า อินดิเพนเดนเซีย (Plaza Independencia) สถานที่อันเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างย่านเมืองเก่าและเมืองใหม่ของ กรุงมอนเตดิเวโอ (Montevideo) ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองท่าหลักของประเทศอุรุกวัย เยี่ยมชม อนุสาวรีย์โจเซ่ อาร์ติกาส (José Artigas Monument) อดีตนายทหารผู้ยิ่งใหญ่และเป็นวีรบุรุษของประเทศ นำท่านเดินทางเดินชมอาคารบ้านเรือนบริเวณจัตุรัสใจกลางเมือง เยี่ยมชม อาคารปาลาซิโอ เลกิสลาติโว (Palacio Legislativo) อาคารที่สร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคแบบอิตาเลี่ยนและเป็น 1 ใน 26 อาคารที่สูงที่สุดในอเมริกาใต้ จากนั้นนำท่านเยี่ยมชม กำแพงเมืองเก่าแก่ (Puerta de la Ciudadela) ที่สร้างขึ้นในช่วงยุคล่าอาณานิคมเพื่อป้องกันเมืองมอนเตดิเวโอเอาไว้ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง นำท่านเดินทางต่อไปยัง เอล ปราโด (El Prado) สถานที่ตั้งของสนามแข่งขันฟุตบอลขนาดใหญ่ 3 แห่ง และสวนสาธารณะปราโด (Prado Park) จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง ปันตา กอร์ดา (Punta Gorda) สถานที่ตั้งของชายหาดที่สวยงามอย่าง La Rambla de Montevideo อิสระให้ท่านเดินเล่นบริเวณชายหาดและซื้อของที่ระลึกจากร้านค้าท้องถิ่นริมชายหาด
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก
พักที่มอนเตดิเวโอ Howard Johnson Carrasco หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว
14 ส.ค./// วันที่สามของการเดินทาง///มอนเตดิเวโอ-ปันตา เดล เอสเต้-มอนเตดิเวโอ-กอร์โดบา
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านเดินทางไปยังเมืองชายทะเล ปันตา เดล เอสเต้ (Punta del Este) สถานที่ตั้งของรีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศอันหรูหรา อาทิ San Rafael, Cantagril และ Beverly Hills ท่านจะได้รู้จักประวัติความเป็นมาของเมืองแห่งนี้จากคำบอกเล่าของไกด์ท้องถิ่น เยี่ยมชมบ้านริมทะเล La Barra del Maldonado สถานที่ตกปลาเก่าแก่ในย่านนี้ จากนั้นนำท่านเยี่ยมชมชายหาดยอดนิยม 2 แห่ง คือ Playa Brava และ Playa Mansa
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง Casa Pueblo อาคารหอศิลป์ 9 ชั้น ที่สร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบเมอดิเตอร์เรเนี่ยน มีพื้นที่ตั้งอยู่บนหน้าผา Punta Ballena ออกแบบโดยจิตรกรและนักประติมากรชาวอุรุกวัยนามว่า Carlos Páez Vilaró ณ สถานที่แห่งนี้ท่านสามารถเดินชมผลงานศิลปะต่างๆที่จัดแสดง รวมถึงการเรียนรู้วิถีชีวิตของศิลปินและเบื้องหลังของการสร้างสรรรค์ผลงานแต่ละชิ้น เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร ภายในสนามบิน
19.30    ออกเดินทางสู่บัวโนส ไอเรสโดยสายการบิน Aerolineas Argentinas เที่ยวบินที่2397 (ใช้เวลาบิน55นาที)
20.45
   เดินทางถึงบัวโนส ไอเรส พักเปลี่ยนเครื่องเป็นเวลา 1.33 ชม.
22.00    
ออกเดินทางสู่ กอร์โดบา  โดยสายการบิน Aerolineas Argentinas เที่ยวบินที่1590 (ใช้เวลาบิน1.30ชม.)
23.30     เดินทางถึง กอร์โดบา จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่ NH Urbano Hotel ระดับ 4 ดาว

15 ส.ค./// วันที่สี่ของการเดินทาง///-กอร์โดบา-ซัลต้า
เช้า
         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านเดินทางจาก เมืองคอร์โดบา (Cordoba) โดยใช้เส้นทางหมายเลข 5 ซึ่งจะเดินทางผ่านอนุสาวรีย์เมียร์เยม สเตฟฟอร์ด (Monument of Miryam Stefford) ไปยัง เมืองอัลต้า กลาเซีย (Alta Glacia) เมืองที่มีความหลากลายทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า นำท่านแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวประจำเมืองอัลต้า กลาเซีย ได้แก่ อ่างเก็บน้ำทาจามาร์ (The Tajamar Lake) เป็นอ่างเก็บน้ำเก่าแก่ที่สุดในคอร์โดบา สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1659 โดยนักบวชนิกายเยซูอิต ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อบริหารการใช้น้ำในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น ได้รับการคัดเลือกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกในปีคริสต์ศักราช 2010 แวะชม ที่พำนักของเวียร์เรย์ ลินแนร์ส (The Jesuit Estancia Alta Gracia) หรือที่พำนักของนักบวชนิกายเยซูอิตในคอร์โดบา สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1615 เดิมใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยและเผยแผ่ศาสนาของนิกายยูเซอิต ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยคอร์โดบา (University of Córdoba) โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายมอนเซอแรต (Monserrat Secondary School) โบสถ์ และอาคารที่พัก ได้รับการคัดเลือกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกในปีคริสต์ศักราช 2000
เที่ยง      รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร
จากนั้นแวะชม มหาวิหารคอนแวนต์แห่งพระแม่มารี (Nuestra Señora de la Merced Church) ศาสนสถานที่สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1535 โดยสถาปนิกนามว่า Fray Miguel de Orenes อาคารมหาวิหารเดิมถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ ต่อมาได้มีการก่อสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยใช้อิฐ แวะชม บ้านของเช (Che’s House) พิพิธภัณฑ์ในรูปแบบบ้านของ Ernesto Che Guevara ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองคอร์โดบาและรักการถ่ายภาพตั้งแต่ยังเยาว์วัย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงรูปถ่ายทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทัศนียภาพของเมืองคอร์โดบาและวิถีชีวิตของชาวเมืองในอดีต พิพิธภัณฑ์มานูเอล เด ฟอลลา (House Museum Manuel de Falla) พิพิธภัณฑ์ในรูปแบบบ้านของ Manuel de Falla นักดนตรีและนักแต่งเพลงของสเปน ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ บันทึก และรูปภาพของมานูเอล เด ฟอลลา แวะชม รูปปั้นพระแม่แห่งลูร์ด (Virgen de Lourdes Grotto) ซึ่งเป็นรูปปั้นพระแม่มารีที่ประดิษฐานบริเวณปากทางเข้าถ้ำหิน ถูกนำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศสโดย Rosita Rosberger ในปีคริสต์ศักราช 1952 และกลายเป็นศาสนสถานของผู้ที่ศรัทธาต่อพระแม่มารีในเวลาต่อมา เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พัก
17.20     ออกเดินทางสู่ ซัลต้า โดยสายการบิน Aerolineas Argentinas เที่ยวบินที่  1819 (บิน1.25ชม.)
18.45     เดินทางถึงซัลต้าจากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม
พักที่ซัลต้า Marqués De Tojo Hotel  ระดับ 4 ดาว

16 ส.ค./// วันที่ห้าของการเดินทาง///ซัลต้า-รถไฟสายม่านเมฆ
05.45
    ออกเดินทางสู่สถานีรถไฟเมืองซัลต้า เพื่อไปนั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์ที่สร้างบนรางที่สูงที่สุดในโลก (Tren a las Nubes หรือ Train to the Cloud “รถไฟในม่านเมฆ”)
เช้า
        
บริการอาหารเช้าแบบกล่องบนรถ
“รถไฟในม่านเมฆ”  (
Tren a las Nubes หรือ Train to the Cloud) มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก จากการที่แล่นอยู่บนรางที่สูงลิบลิ่วเหนือหุบเขา และแล่นอยู่บนเส้นทางบนทิวเขาสูงเทียมเมฆ และใช้วิศวกรรมการรถไฟชั้นสูง โดยวิศวกรชื่อ Richard Fontaine Maury คิดค้นระบบที่ทำให้รถไฟสามารถวิ่งไต่เขาสูงชั้นขึ้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินไต่เขาของตัวลาวะและแพะภูเขา และออกแบบรางให้วนเป็นวงกลมรอบภูเขา ไต่เป็นแนวซิกแซกฟันปลา เหมือนแบบรางที่ขึ้นมาชูปิกชูที่เปรู
07.05    
ออกเดินทางโดยรถไฟสายม่านเมฆ สู่เส้นทางในฝันของนักเดินทางทั่วโลก สู่สถานีปลายทาง La Polvorilla Viaduct ที่รถไฟจะแล่นขึ้นเหนือ ไต่ขึ้นเขาเป็นแนวซิกแซกเหมือนฟันปลาที่ El Alisal วิ่งผ่านสะพานแบบโบราณสูง 20 เมตร ข้ามหุบเขาโตรกลึกชั้นที่ Tora Viaduct จนไปถึงระหว่าง Tacuara และ Almagro ที่รถไฟต้องวิ่งม้วนลอดรางตัวเอง ตลอดเส้นทางทั้งสายจากซัลต้าไปจนถึง La Polvorilla Viaduct ยาว 217 กิโลเมตร รถไฟจะวิ่งผ่าน 19 สะพาน และ 20 Viaduct ความสูงไต่ขึ้นจากเมืองซัลต้าที่ 1,187 เมตร ไปจนถึงลาโปลโวริยาที่ 4,220 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และลอดผ่านอุโมงค์ที่คดเคี้ยวเป็นรูปตัว S ยาวครึ่งกิโลที่ความสูง 3,600 เมตร
เที่ยง
      บริการอาหารกลางวันบนรถไฟ
14.45     รถไฟเดินทางถึงสถานีปลายทางลาโปลโวริยา วิอาดัต (La Polvorilla Viaduct) ระดับความสูง 4,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และจุดนี้เองที่ทำให้รถไฟขบวนนี้ได้ชื่อรถไฟสายม่านเมฆ ก่อนจะถึงสถานีรถไฟบนสะพานรถไฟ (Viaduct) รถไฟจะจอดเหนือหุบเขาโตรกสูงชัน ให้เห็นรางกันชัด เป็นสะพานรถไฟข้ามเหวทอดยาวถึง 224 เมตร ข้ามภูเขาสองลูก ตรงจุดเกือบถึงขอดเขาประหนึ่งรางรถไฟลอยอยู่สูงลิ่งกลางหุบเขา สูงจากหุบเหวเบื้องล่างถึง 63 เมตร เมื่อเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านก็ให้ความรู้สึกเหมือนเหาะผ่านม่านไป ให้ท่านได้เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปทิวทัศน์ของหุบเขา และรางรถไฟลอยฟ้าจนสมควรแก่เวลา
บ่าย  ออกเดินทางกลับเมืองซัลต้า ด้วยรถโค้ชปรับอากาศของรถไฟ ระหว่างทางกลับแวะจอดพักที่เมืองเล็กๆใกล้สถานีปลายทาง ซาน แอนโตนิโอ เดอ ลอส โคเบรส (San Antonio de los Cobres) ให้ท่านได้จับจ่ายซื้อของพื้นเมือง จากนั้นเดินทางกลับเมืองซัลต้า
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร
พักที่ซัลต้า Casa Real Hotel หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว


17 ส.ค./// วันที่หกของการเดินทาง///ซัลต้า-ทุ่งเกลือซาลินาส-กรานเดส-ปูร์มามาร์กา

เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านผ่านเข้าสู่ทะเลทรายที่เต็มไปด้วยต้นตะบองเพชร มุ่งหน้าสู่หนึ่งในภูมิทัศน์มหัศจรรย์บนพื้นโลก ลานเกลือยักษ์ (Salinas Grandes) ในภูมิภาคฮูฮุย (Jujuy) ของอาร์เจนติน่า ที่ดูเหมือนทะเลสาบน้ำแข็งยักษ์สีขาวกล้างไกล ตัดกับภูเขาสีน้ำตาลแดงแห้งแล้งที่สุดขอบฟ้า เหมือนภูมิประเทศประหลาดบนดาวอังคาร ไม่มีเมืองหรือบ้านเรือน เว้นแต่ห้องน้ำขนาดเล็กไว้บริการนักท่องเที่ยวเป็นจุดๆและกองเกลือที่คนงานรวบรวมเป็นระยะๆ
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านสู่จุดชมวิวที่มีการเจาะสระว่ายน้ำขนาดเล็กลงในลานเกลือหลายสระเรียงต่อกันไป นักท่องเที่ยวสามารถลงไปใช้บริการสระว่ายน้ำได้ ให้ท่านหยุดถ่ายภาพและพักผ่อนบริเวณนี้ได้ ลานเกลือยักษ์ (Salinas Grandes) มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล กินพื้นที่ถึง 8,300 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในภูมิภาคฮูฮุย (Jujuy) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินาติดกับพรมแดนประเทศชิลีและโบลิเวีย ปัจจุบันเป็นแหล่งรายได้ที่มีความสำคัญมากขึ้นสำหรับภูมิภาคแห่งนี้ ทั้งด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมเหมืองเกลือและเหมืองแร่โพแทสเซียม จากนั้นเดินทางสู่เนินเขา 7 สี (Cerro de los Siete Colores) ก่อนเข้าเมืองปูร์มามาร์กา ชมเนินเขาขนาดย่อมที่มีชั้นหินมีสีแตกต่างกันถึง 7 สี ตั้งแต่เหลือ เหลือเข้ม ส้ม แดง ไปจนถึงเขียว เนินเขาแห่งนี้มีอายุถึง 75 ล้านปี ที่ชั้นหินประกอบด้วยตะกอนหลายชั้นที่แตกต่างกันจากทะเล ทะเลสาบ และแม่น้ำในแต่ละยุคสมัยทางธรณีวิทยา ก่อให้เกิดชั้นสีที่แตกต่างแต่งดงามจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติทีสำคัญของภูมิภาคฮูฮุย
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม
พักที่ปูร์มามาร์กา Marqués De Tojo Hotel  ระดับ 4 ดาว

18 ส.ค./// วันที่เจ็ดของการเดินทาง///ปูร์มามาร์กา-หุบเขาอูมาวากา-ซัลต้า
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
ออกเดินทางขึ้นเหนือใกล้พรมแดนประเทศโบลิเวีย นำท่านชมภูมิทัศน์มหัศจรรย์ “จานสีจิตรกร” (La Peleta del Pintor) ซึ่งเป็นหน้าผาหินหลากสีตั้งแต่เหลือง-น้ำตาล แดง ไปถึงเขียว ขนาดใหฯบนเนินเขาที่สร้างสรรค์อย่างงดงามโดยธรรมชาติ ด้านบนของหน้าผามีสุสานโบราณที่หมู่บ้านไมมาร่า (Maimara) แวะชมซากป้อมปราการแห่งหมู่บ้าน ดิลการา (Tilcara) ที่สร้างไว้กว่า 900 ปีก่อน เพื่อเฝ้าระวับแม่น้ำริโอ กรานเดส จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองเกบราด้าแห่งหุบโตรอูมาวากา (Quebrada de Humahuaca) ที่ระดับความสูง 3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เมืองนี้เป็นเมืองหลักของหุบโตรกแห่งนี้ มีประชากรหนาแน่นที่สุดและสร้างในรูปแบบโคโลเนี่ยลดั้งเดิม บนพื้นถนนโบราณที่ปูด้วยหิน ชมอนุสาวรีย์แห่งอิสระภาพกลางเมือง และแวะชมภาพเขียนจากจิตรกรจากเมืองคูสโก้ ในโบสถ์สวยประจำเมือง Iglesia de la Candelaria และหอนาฬิกากาบิลโด้ (Cabildo’s Clock Tower) เกบราด้า เดอ อูมาวากา (Quebrada deHumahuaca) เป็นหุบโตรกแคบๆยาวๆที่ถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำริโอ กรานเด้ (Rio Grande) ขนาบข้างด้วยภูเขาสูงและเหยียดยาวจากที่ราบสูงทะเลทรายหนาวเย็นแอนเดียนสู่หุบเขากว้าง อบอุ่น และชุ่มชื่นของภูมิภาคฮูฮุย (Jujuy) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยาวถึง 150 กิโลเมตร หุบเขาแห่งนี้เป็นเส้นทางธรรมชาติที่สำคัญในการเดินทาง อพยพ ค้าขาย และเคลื่อนย้ายประชากร ผู้คน และวัฒนธรรมมาตั้งแต่ 10,000 ปีจนถึงยุคปัจจุบัน ประกอบไปด้วยหุบเขาย่อยๆที่มีเส้นทางเชื่อต่อกันถึงหลายแห่ง มีซากของการตั้งถิ่นฐานอย่างกว้างขวางต่อเนื่องที่ตลอดแนวหุบเขามีการค้นพบถ้ำโบราณที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมือง และภาพเขียนสีที่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการการตั้งถิ่นฐาน การเกษตรกรรมชั้นสูงที่มีการพัฒนาระบบการชลประทาน และเส้นทางการค้า ตั้งแต่ยุคก่อนอินคาจนถึงยุคก่อนการเข้าครอบครองของสเปน
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารพื้นเมือง
ออกเดินทางสู่เมืองซาลาร์ เดอ อูยูนี ระยะทาง 455 กม ใช้เวลาเดินทาง 7-8 ชม.
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร
พักที่ซาลาร์ เดอ อูยูนี หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว


19 ส.ค./// วันที่แปดของการเดินทาง///ซาลาร์ เดอ อูยูนี-โปโตซี
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านตะลุย ทะเลเกลือ ซาลาร์ เดอ อูยูนี (Salar de Uyuni)  ด้วยมนตร์เสน่ห์ของผลึกเกลือสีขาวอันกว้างใหญ่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10,582 ตารางกิโลเมตร ทำให้ ซาลาร์ เดอ อูยูนี กลายมาเป็นสถานที่ในฝันของนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ขาด ไม่ว่าจะในช่วงฤดูแล้งหรือฤดูฝน เพราะไม่ว่าจะในช่วงเวลาใดทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ก็ยังคงมีความงดงามชวนให้หลงใหลได้เสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่งดงามที่สุด เมื่อมีฝนตกจนเกิดผืนน้ำปกคลุมผลึกเกลือ เราจะได้พบกับภาพการสะท้อนอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างทิวทัศน์ที่เห็นอยู่เบื้องหน้ากับภาพสะท้อนจากผืนน้ำ จนเกิดเป็นคำกล่าวที่ว่า “ผืนฟ้าจรดผืนโลก อันงดงามชวนหยุดหายใจ”และจากคำถามที่หลายคนสงสัยว่าสถานที่สุดอัศจรรย์อย่าง ซาลาร์ เดอ อูยูนี นั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สามารถอธิบายได้ว่าที่ราบสูงอัลติพลาโน (Altiplano) บนเทือกเขาแอนดีส ของโบลิเวียนั้น ไม่มีทางระบายน้ำออก ทำให้น้ำจากภูเขาที่อยู่ล้อมรอบไหลมารวมกันจนเกิดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีความเค็มสูง อย่างไรก็ตาม ทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้ได้ถูกแสงอาทิตย์ที่รุนแรงทำให้ระเหยไป ทิ้งไว้เพียงผลึกเกลือที่ค่อย ๆ ก่อตัวหนาขึ้น จนกลายมาเป็นทะเลเกลือในปัจจุบัน นำท่านสัมผัสประสบการณ์นั่งรถ 4WD มุ่งหน้าสู่ ทะเลสาบน้ำเค็มอูยูนิ (Uyuni) พื่นที่ซึ่งเวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา โดยมีน้ำทะเลตื่นๆที่ขังอยู่ที่พื้น ได้สะท้อนฟ้าสีครามเบื้องบน ทั้งยังทอดตัวยางไปจรดกับแผ่นฟ้ายังที่แห่งหนึ่งไกลลิบๆสุดสายตา ทำให้สถานที่แห่งนี้เสมือนแดนสวรรค์ในความคิดของใครหลายคน ทะเลสาบน้ำเค็มอูยูนิ (Uyuni) เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม หรือ ทะเลสาบแห้ง (salt flat หรือ dry lake) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ประมาณ 11,000 ตารางกิโลเมตร และอยู่เหนือระดับน้ำทะเลราว 3,600 เมตร บนเทือกเขาแอนดีส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ด้วยความสูงถึงเพียงนี้จึงราวกับว่า Uyuni เป็นดินแดนที่อยู่ท่ามกลางฟากฟ้าและก้อนเมฆ ยามปกติจะเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ที่มีน้ำทะเลขังอยู่เพียงตื่นๆ ส่วนในบางฤดู น้ำอาจระเหยออกจนกลยเป็นทะเลเกลือขาวโพลนซึ่งให้ความสวยงามไปอีกแบบ อิสระให้ท่านได้สัมผัสประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มาเยือนทะเลเกลือหรือทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมเก็บภาพผืนน้ำสะท้อนอันสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลเกลือแห่งนี้ ระหว่างทางนำท่านแวะชมศูนย์ผลิตเกลือโคลชานิ (Colchani) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเกลือที่ใช้กรรมวิธีดั้งเดิมของชาวโบลิเวีย
เที่ยง         รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่าเดินทางสู่เมืองโปโตซีใช้เวลาเดินทาง3ชม. เมื่อถึงเมืองโปโตซี โปโตซี (Potosí) เมืองหลวงของรัฐโปโตซีในประเทศโบลิเวีย ตั้งอยู่เชิงเขาเชร์โรโปโตซี (Cerro de Potosí) เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ระดับสูงที่สุดของโลกโดยมีความสูงอยู่ที่ 4,090 เมตรเมืองนี้สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1545 หลังจากมีการค้นพบแร่เงินในภูเขาซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในลาตินอเมริกา แต่ประชากรก็ได้ลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอัตราการผลิตแร่เงินลดน้อยลง และกลับมาขยายตัวเติบโตอีกครั้งเมื่อมีการทำเหมืองดีบุกและมีอุตสาหกรรมอื่นๆทดแทนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19-20  จากนั้นนำท่านเยี่ยมชมโบสถ์ซาน ฟรานซิสโก (Church of San Francisco), โบสถ์ซาน ลอเรนโซ (Church of San Lorenzo), ตลาดกลาง (Central Market) และ คอนเวนโต้ เด ซานต้า เทเรสซ่า (Convento de Santa Teresa) เดิมเป็นโรงเรียนประจำของเด็กสาวที่มาจากตระกูลร่ำรวยในเมืองโปโตซี สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1685 กำกับดูแลโดยบรรดาแม่ชีโรมันคาทอลิก คาเมลไลท์ (Carmelites) โดยครอบครัวของเด็กสาวเหล่านั้นมักจะให้การสนับสนุนและบริจาคสิ่งของมีค่าฟุ่มเฟือยให้กับทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายศตวรรษ อาทิ เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ ภาพวาด เป็นต้น ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
คํ่า        รับประทานอาหารคํ่า ณ ภัตตาคาร จากนนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่เมือง โปโตซี โรงแรม
Hostal Patrimonio – Potosi หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว


20 ส.ค./// วันที่เก้าของการเดินทาง///โปโตซี-ซูเกร
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านเยี่ยมชม โรงกษาปณ์ประจำเมืองโปโตซี (National Mint) หรือชื่อท้องถิ่นว่า คาซ่า เนซิโอนอล เด ลา โมเนดา (Casa Nacional de la Moneda) ถูกสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1572 โดยคำสั่งการของ ท่านอุปราชโทเลโด (Viceroy of Toledo)ที่ได้รับพระราชบัญชาจากกษัตริย์ของสเปน มีบทบาทสำคัญมากในช่วงปีคริสต์ศักราช 1753 ถึงปีคริสต์ศักราช 1773 เนื่องจากใช้เป็นสถานที่ผลิตเหรียญกษาปณ์สำหรับใช้ในเมืองและรักษาความสมดุลของมูลค่าเงินจากประเทศอาณานิคมอื่น โดยเหรียญที่ผลิตออกมานั้นจะมีการตราสัญลักษณ์เป็นตัวอักษร P ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าหมายถึงเหรียญจากโปโตซี ปัจจุบันอาคารแห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงเกี่ยวกับความเป็นมาของโรงกษาปณ์ ประวัติศาสตร์การผลิตเหรียญเงิน และเก็บรวบรวมผลงานทางศิลปะจากรุ่นสู่รุ่นของนักสร้างผลงานศิลปะชาวโปโตซีทุกแขนง จากนั้นนำท่าชมเมือง ซูเกร (Sucre) หรือในภาษาสเปน ซูเกร (Sukre) เมืองหลวงของประเทศโบลิเวีย มีประชากรประมาณ 300,000 คน มีพื้นที่ตั้งใน รัฐชูกีซากา (Chuquisaca) อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,750 เมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปีคริสต์ศักราช 1990 ซูเกรเป็นเมืองที่ได้ฉายาว่า นครสี่นาม เนื่องจากมีชื่อมาแล้วสี่ชื่อ โดยแรกเริ่มใช้ชื่อว่า ลาปลาตา (La Plata) และเปลี่ยนเป็น ชาคราส (Charcas) ต่อเปลี่ยนเป็น ชูควิซากา (Chuquisaca) และเปลี่ยนเป็น ซูเกร (Sukre) ในปีคริสต์ศักราช 1839 ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เกียรติแก่ประธานาธิบดีคนแรกของโบลิเวีย คือ อันโตเนียว โฮเซ เดอ ซูเกร (Antonio José de Sucre)
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ลา รีคอลเลตต้า (La Recoleta Museum) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีคริสต์ศักราช 1601 สถานที่แห่งนี้มีจุดเด่นคือเป็นทั้งโบสถ์และพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังเคยใช้เป็นค่ายทหารและเรือนจำมาก่อนอีกด้วย ภายในประดับตกแต่งด้วยภาพแกะสลักไม้ปีคริสต์ศักราช 1870 ประกอบกับการจัดแสดงผลงานประติมากรรมที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง พิพิธภัณฑ์สิ่งทอชนเผ่าจากเทือกเขาแอนดีสตอนใต้ (Anthropologists of the Andean South Textile Museum) สถานที่ที่รวบรวมและจัดแสดงเกี่ยวกับสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องประดับอันประณีตที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยประวัติศาสตร์ของโบลิเวียจนถึงช่วงเวลาอันรุ่งเรืองของอารยธรรมอินคาก่อนยุคโคลอมเบียน ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงนิทรรศการไว้เป็นจำนวนมากและมีการสาธิตกรรมวิธีการทอผ้าแบบโบราณให้ท่านได้รับชมอีกด้วย จากนั้นนำท่านเยี่ยมชมย่านการค้าใจการเมืองซูเกร พลาซ่า 25 เด มาโย (Plaza 25 de Mayo) สถานที่ที่มีร้านค้าและร้านอาหารขนาดเล็กบริการสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นศูนย์กลางของการศึกษาศาสนาและศิลปะร่วมสมัย และยังเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ อาคารราชการ สถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นสีขาว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และกลายเป็นจุดเด่นของเมืองซูเกรไปในที่สุด นำท่านแวะชม มหาวิหารเมโทรโปเลียน (Metropolitan Cathedral), อาคารศาลสูงสุด (Supreme Court), พิพิธภัณฑ์แห่งอิสรภาพ (House of Ask for pricedom/House of Liberty) หรือชื่อท้องถิ่นว่า คาซา เด ลา ลิเบอทาต เอน ซูเกร (Casa de la Libertad en Sucre) สถานที่เก็บรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของโบลิเวีย อาทิ เอกสารประกาศเอกราชของโบลิเวียที่ลงนามโดย Simon Bolivar และ Mariscal Sucre รูปภาพของผู้นำการปกครองต่างๆในประวัติศาสตร์ เป็นต้น
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักที่เมือง ซานตาครูซ  โรงแรม Villa Antigua Hotel หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว


21 ส.ค./// วันที่สิบของการเดินทาง///โปโตซี-ซูเกร
เช้า
         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
08.20     ออกเดินทางสู่ ซานตาครูซ Santa Cruz de la Sierra โดยสายการบิน Amaszonas เที่ยวบินที่  201 (ใช้เวลาบิน35นาที)
09.05
    เดินทางถึงซานตาครูซ จากนั้น นำท่านสำรวจพิพิธภัณฑ์ ตลาด อาคารบ้านเรือน แม่น้ำพีเร่ สวนพฤกษศาสตร์ ลองทานอาหารท้องถิ่น แวะชมสวนน้ำ La Rinconada นำท่านชม Zoológico Municipal Noel Kempff Mercado สวนสัตว์ Noel Kempff Mercado ตั้งอยู่ในเมืองซานตาครูซ ประเทศโบลิเวีย ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์ Noel Kempff Mercado นักธรรมชาติวิทยาและเป็นผู้สร้างสวนพฤกษศาสตร์ ortus Amazonicus Tropicalis Boliviensis ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพีเร่ เขาก่อตั้งสวนสัตว์แห่งให้ในขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเทศบาลเมืองซานตาครูซ บริเวณทางเข้าสวนสัตว์ประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นเสมือนจริงของศาสตร์จารย์ Noel Kempff Mercado และรูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นผลงานของท่าน เปิดทำการครั้งแรกในวันที่ 19 สิงหาคม 1979 ประกอบด้วยสัตว์เลี้อยคลาน 30 ชนิด นก 121 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 40 ชนิด และปลาพื้นเมือง 60 ชนิด นำท่านชม Manzana Uno หอศิลป์ (Manzana Uno) เป็นหอศิลป์ที่ไม่หวังผลกำไร ได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางประวัติศาสตร์ของเมืองซานตาครูซ เคยเป็นที่ตั้งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หอศิลป์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดของศิลปินนามว่า Ejti Stih, Juan Bustillos และ Valia Carvalho ซึ่งลงนามข้อตกลงกับรัฐบาลแห่งซานตาครูซ เพื่อระดมทุนในการฟื้นฟูอาคารจากบุคคลทั่วไป และได้สนับสนุนจากบริษัทเอกชนหลายบริษัท หอศิลป์ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงนิทรรศการระดับชาติและระดับนานาชาติ และเป็นสถานที่เปิดกว้างและฟรีสำหรับทุกคนที่มาเยี่ยมชมจัตุรัสหลักของเมือง ชม Cathedral Basilica of St. Lawrence, Santa Cruz de la Sierra มหาวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์ หรือ ซานตาครูซเดอลาเซียร่าวิหาร เป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิกหลักในเมืองซานตาครูซ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงข้ามกับจัตรัส the 24 de Septiembre
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางไปยัง โลมาส เด อารีนา (Lomas de Arena)  เมื่อเดินทางถึงโลมาส เด อารีนา พื้นที่อุทยานที่มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา สลับกับป่าชายเลน หาดทราย และทะเลสาบ นำท่านเดินทางสำรวจพื้นที่ด้วยรถยนต์แบบ 4WD เข้าไปในพื้นที่ป่าเพื่อชมสัตว์ป่า จากนั้นมุ่งหน้าไปยังบริเวณเนินทะเลทรายเพื่อเดินเท้าต่อไปยังพื้นที่ทะเลสาบ ระหว่างทางเจ้าหน้าที่อุทยานจะอธิบายเกี่ยวกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของอุทยาน พร้อมทั้งให้ทุกท่านได้ทำกิจกรรมบนกระดานทรายที่ออกแบบมาเป็นพิเศษก่อนที่จะเริ่มสำรวจป่าในลำดับต่อไป เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางไปยังสนามบิน
17.00     ออกเดินทางสู่ อาซุนซิอง Asuncion ประเทศปารากวัย โดยสายการบิน Amaszonas เที่ยวบินที่  400 (ใช้เวลาบิน1.30นาที)
18.35    
 เดินทางถึงอาซุนซิอง ประเทศปารากวัย จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก
พักที่ อาซุนซิอง Crowne Plaza Asuncion หรือเทียบเท่าระดับ4ดาว


22 ส.ค./// วันที่สิบเอ็ดของการเดินทาง///อาซุนซิอง-มอนเตดิเวโอ
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านเดินลัดเลาะตามถนนสายหลักไปยัง National Pantheon of Heroes หรือโบสถ์แห่งทวยเทพผู้ปกป้อง ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีนามว่า Alejandro Ravizza และ Giacomo Colombino ท่านจะได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นอิสระของปารากวัยเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยัง Cabildo สถานที่ที่ท่านจะได้รับข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสมคมในปารากวัย แวะชมอาคารรัฐสภาแห่งใหม่
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
จากนั้นนำท่านเยี่ยมชมพระราชวัง Palacio de López สถานที่ที่ท่านจะได้รับรู้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับระบอบการปกครอง รวมถึงชื่นชมความสวยงามของพระราชวังตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมของปารากวัย
นำท่านเดินทางต่อไปยังสุสานเก่าแก่ Recoleta ที่ยังคงหลงเหลือโครงสร้างแบบโบราณไว้ให้เห็น ระหว่างทางท่านจะเห็นตลาดยอดนิยมในย่านนี้อย่าง Mercado 4 หรือ Pettirossi  เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางไปยังย่านธุรกิจหลักของปารากวัย อันเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์การค้าแห่งใหม่ ธนาคาร และสถาบันการเงินที่ทันสมัย
17.11     ออกเดินทางสู่ เซาเปาโล ประเทศบราซิล โดยสายการบิน LATAM Airlines เที่ยวบินที่  1301 (ใช้เวลาบิน2.14นาที)
20.25    เดินทางถึง เซาเปาโล ประเทศบราซิล
ค่ำ         
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก
พักที่ เซาส์ เปาโล Grand Mercure Sao Paulo Ibirapuera  หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

23 ส.ค./// วันที่สิบสองของการเดินทาง/// เซาเปาโล
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านชมเมืองเซาเปาโล เมืองหลวงของรัฐเซาเปาโล ประเทศบราซิล เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและใหย่เป็นอันดับที่ 4 ของโลกตามจำนวนประชากร ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของ บราซิลนองกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในประเทศ ชื่อเซาเปาโลเป็นภาษาโปรตุเกส มีความหมายว่า “นักบุญพอล” ทั้งนี้เมืองเซาเปาโลได้ชื่อว่า “นิวยอร์กแห่งละตินอเมริกา” เนื่องจาก เป็นเมืองธุรกิจ ศุนย์กลางการค้าการลงทุน นำท่านผ่านชมและแวะถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ทำเนียบผู้ว่าการรัฐ มหาวิทยาลัยของรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ย่านธุรกิจการค้า โรงพยาบาลอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นโรงพยาบาลที่ดีและทันสมัยที่สุดในอเมริกาใต้บ่าย นำท่านชมเมืองเซาเปาโล เมืองหลวงของรัฐเซาเปาโล ประเทศบราซิล เมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและใหย่เป็นอันดับที่ 4 ของโลกตามจำนวนประชากร ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของ บราซิลนองกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งที่สุดในประเทศ ชื่อเซาเปาโลเป็นภาษาโปรตุเกส มีความหมายว่า “นักบุญพอล” ทั้งนี้เมืองเซาเปาโลได้ชื่อว่า “นิวยอร์กแห่งละตินอเมริกา” เนื่องจาก เป็นเมืองธุรกิจ ศุนย์กลางการค้าการลงทุน นำท่านผ่านชมและแวะถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ทำเนียบผู้ว่าการรัฐ มหาวิทยาลัยของรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ย่านธุรกิจการค้า โรงพยาบาลอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นโรงพยาบาลที่ดีและทันสมัยที่สุดในอเมริกาใต้ นำท่านสู่จัตุรัสเซ (Se Square)ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองเซาเปาโล และเป็นที่ตั้งของโบสถ์ประจำเมืองเป็นโบสถ์สไตล์โกธิคสวยงามมาก นอกจากนี้ยังเป็นจัตุรัสที่ตั้งของโรงละคร ศูนย์กลางสถานีรถไฟฟ้า ใต้ดินของเมืองเซาเปาโล นำท่านสู่ เซาฟรานซิสโก้ สแควร์ (Sao Francisco Square) ซึ่งเป็นเมืองตั้งอยู่ใน เขต เซา คลิสโตโว (Sao Cristovao)ได้รับการยกย่องากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 2010 เมืองแห่งนี้มีลักษณะโดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบบาโร๊ค และบ้านเรือนที่สร้างมาตั้งแต่ สมัยศตวรรษที่ 18-19 สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินชีวิตและศิลปะวัฒธรรมของชาวบราซิลในอดีต นำท่านชม โบสถ์ฟรานซิโก (Sao Francisco Church) และแวะถ่ายรูปกับ Santa Casa da Misericordia ซึ่งเป็นที่พำนักของขุนนางในสมัยก่อน
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
17.50     ออกเดินทางสู่ ซัลวาดอร์ (Salvado Airport)  โดยสายการบิน LATAM Airlines  เที่ยวบินที่ 3219(ใช้เวลาบิน2.20นาที)
20.10    เดินทางถึง ซัลวาดอร์
ค่ำ
          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่ ซัลวาดอร์
Sheraton Da Bahia Hotel Salvador หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว


24 ส.ค./// วันที่สิบสามของการเดินทาง///ซัลวาดอร์ – ย่านประวัติศาสตร์ซัลวาดอร์ – มูลนิธิจอร์ช อมาโด – พิพิธภัณฑ์ของเมืองซัลวาดอร์  พิพิธภัณฑ์อูโด นอฟ – คริสตจักรซานฟรานซิสโกแห่งซัลวาดอร์
เช้า        
รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เมืองซัลวาดอร์ (Salvado) เมืองใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลตั้งอยู่ทางชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ซัลวาดอร์เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของบราซิลซึ่งก่อตั้งในยุคอาณานิคมโดยชาวโปรตุเกส ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของ รัฐบาเยีย (Bahia)  และป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศบราซิลรองจากจาก เซาเปาลู และ รีโอเดจาเนโร ซัลวาดอร์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความสุข    มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของการสังสรรค์และเทศกาลรื่นเริง จากนั้นนำท่านเดินทางสำรวจสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งนี้โดยเริ่มต้นที่ ย่านประวัติศาสตร์ซัลวาดอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม ย่านเปลัวรินโฮ (Pelourinho neighborhood) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปีคริสต์ศักราช 1985 มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนแบบบาโรก สถาปัตยกรรมตะวันตกที่มีบ่งบอกถึงความหรูหราและความมีอำนาจของสถาบันคริสต์ศาสนาและการปกครอง ภายในย่านนี้ประกอบไปด้วยอาคารบ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง และอนุสรณ์สถานมากมายที่มีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน จากนั้นนำท่านเยี่ยมชม มูลนิธิจอร์ช อมาโด (House of Jorge Amado Foundation) เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่หวังผลไรทำธุรกิจ ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์ช อมาโด (Jorge Amado) นักเขียนที่มีชื่อเสียงชาวบราซิล ผลงานการเขียนของเขาได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีการแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 49 ภาษา นอกจากนี้ในปีคริสต์ศักราช 1978 หนึ่งในผลงานการเขียนของจอร์ช อมาโด ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า Dona Flor and Her Two Husbands อีกด้วย มูลนิธิแห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมผลงานและจัดนิทรรศการชีวประวัติของจอร์ช อมาโด นอกจากนี้ยังเป็นองค์กรที่ส่งเสริมและสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจด้านงานเขียนเกี่ยวกับศิลปะและวรรณคดี รวมถึงเป็นสถานที่ใช้ประชุมและอภิปรายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ในเรื่องการแบ่งแย่งเชื้อชาติ เศรษฐกิจ และสังคมของเมืองซัลวาดอร์ เมื่อได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ของเมืองซัลวาดอร์ (City Museum) สถานที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องแก้ว และเฟอร์นิเจอร์ของเหล่าขุนนางในอดีต จากนั้นเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์อูโด นอฟ (Udo Knopf Museum) สถานที่ที่รวบรวมและจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับหิน กระเบื้อง และเซรามิกจากทั่วทุกมุมโลก แวะเยี่ยมชม คริสตจักรซานฟรานซิสโกแห่งซัลวาดอร์ (The Gilded São Francisco Church) สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค ตกแต่งภายในด้วยงานแกะสลักไม้เคลือบทองประดับด้วยอัญมณี และจิตรกรรมฝาผนังสไตล์บาโรกที่แสดงถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เทพนิยาย และตำนานประจำเมืองซัลวาดอร์
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินทางไปยัง ชายหาดเซา โทม เด ปารีพ (Sao Tome de Paripe beach) สถานที่พักผ่อนในวันหยุดของชาวซัลวาดอร์ที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
21.05     ออกเดินทางสู่ โอลินดา (Olinda) Recife โดยสายการบิน Avianca Brasilเที่ยวบินที่  6310  (ใช้เวลาบิน1.20ชม.)
22.25    เดินทางถึงสนามบิน Recife เมือง โอลินดา จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่ โอลินดา Grand Mercure Recife Boa Viagem หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

25 ส.ค./// วันที่สิบสี่ของการเดินทาง///โอรูเปรตู- Tiradentes
เช้า         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านชม เมืองโอลินดา (Olinda) เป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) และได้ชื่อว่าเป็นเวนิสแห่งบราซิล เยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆของเมือง ได้แก่ โบสถ์โอปอร์โต (Igreja do Camo), ร้านทำตุ๊กตาโอลินดา (Embaixada dos Bonecos Gigantes), ถนนคนเดินแอมปาโร่ (Rua do Amparo), จัตุรัสอัลโต ดา เซ่ (Alto da Sé Square) และพิพิธภัณฑ์ฟรานซิสโกเบรนนาร์ด (Alto da Sé Square)
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
15.10     ออกเดินทางสู่ บราซิลเลีย   โดยสายการบิน LATAM Airlines  เที่ยวบินที่3067 (ใช้เวลาบิน2.40 นาที)
17.50    เดินทางถึงบราซิลเลีย
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักที่ บราซิลเลีย โรงแรม Melia Brasil 21 หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว


26 ส.ค.///  วันที่ยี่สิบห้าของการเดินทาง///บราซิลเลีย (Brasília)-โอรูเปรตู
เช้า
         รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
นำท่านชม เมืองบราซิลเลีย (Brasília) เมืองที่มีราคาที่ดินแพงที่สุดในบราซิล อาคารบ้านเรือนแต่ละหลังจะสร้างได้สูงสุดไม่เกิน 6 ชั้น เพื่อให้มีความสูงเท่ากับต้นไม้ที่ปลูกไว้โดยรอบ เยี่ยมชมโบสถ์ดอร์มบอสโค (Dom Bosco Church) ถึงแม้สถาปัตยกรรมภายนอกจะไม่สวยงามนักแต่ด้านในกลับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม จากนั้นนำท่านขึ้นไปยังด้านบนของอาคาร TV Tower ซึ่งเป็นจุดที่มีทิวทัศน์ของเมืองในลักษณะมุมกว้าง ในวันหยุดสุดสัปดาห์ภายใต้อาคารเป็นสถานที่ขายผลิตภัณฑ์จากงานฝีมือ อาหารราคาถูก เยี่ยมชมอาคารสำนักงานทางราชการและอนุสรณ์สถานเจเค (JK Memorial), สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของออสการ์ เนยย์เมอร์ (Oscar Nieyemer), ที่พำนักของจัสเซลิโน่ คูบิสชีค (Juscelino Kubitschek), พิพิธภัณฑ์ธนาคารกลาง (Central Bank Museum), พระราชวังอิททามาราตี้ (Itamaraty Palace), สภาแห่งชาติ (National Congress) และมหาวิทยาลัยบราซิลเลีย
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
16.30     ออกเดินทางสู่นามบิน Belo Horizonte เมืองโอรูเปรตู   โดยสายการบิน GOL Linhas Aéreas  เที่ยวบินที่ 1702 (ใช้เวลาบิน1.10 ชม.)
17.40   เดินทางถึงสนามบิน Belo Horizonte เมืองโอรูเปรตู   
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักที่ โอรูเปรตู  Hotel Solar do Rosário หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

27 ส.ค.///  วันที่สิบหกของการเดินทาง///โอรูเปรตู- Tiradentes
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเยี่ยมชมรอบ เมืองโอรูเปรตู (Ouro Preto) ชื่อของเมืองมาจากจากภาษาโปรตุเกสซึ่งมีความหมายว่าทองสีดำ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ตั้งอยู่ในพื้นที่รัฐมีนัสชีไรส์ ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่รวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีอุตสาหกรรมการผลิตเหมืองแร่ทองคำและส่งต่อทองคำที่ได้จากการผลิตไปยังเมืองท่า พาราตี้ (Paraty) นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมบาโรกอันโดดเด่นและเป็นแหล่งที่ค้นพบผลงานของ อาเลย์จาดีนยู (อานตอนยู ลิสบัว) ประติมากรและสถาปนิกชาวบราซิล
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมือง Tiradentes ระยะทาง 200 กม ใช้เวลา3.30ชม.
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักที่ Tiradentes โรงแรม Garden Hill Hotel e Golfe หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

28 ส.ค./// วันที่สิบเจ็ดของการเดินทาง/// Tiradentes

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม โบสถ์เซนต์ อาร์โธนี (Saint Anthony Church) เป็นคริสตจักรที่ใช้ไม้ในการก่อสร้าง เริ่มต้นการก่อสร้างในปีคริสต์ศักราช 1702 ภายหลังจากการสำรวจพื้นที่นี้ครั้งแรก และเสร็จสิ้นการก่อสร้างในปีคริสต์ศักราช 1710 ว่ากันว่าเป็นผลงานการสร้างชิ้นสุดท้ายของ อาเลยาดินโฮ (Aleijadinho) และเปิดใช้งานใน 20 ปีต่อมา นับได้ว่าเป็นหนึ่งในโบสถ์สไตล์บาโรก (Baroque Style) ที่สวยที่สุดในบราซิล ภายในประดับตกแต่งด้วยแท่นบูชาแกะสลักที่มีความปราณีตงดงาม 7 แท่น ซึ่งเป็นผลงานสไตล์จอห์น วี  (D.João V style) และมีการนำเครื่องดนตรีอย่างออแกนซึ่งมี 630 ท่อ ที่ซื้อจากเมืองพอร์โต (โปรตุเกส) มาตั้งประดับไว้ในโบสถ์อีกด้วย จากนั้นชม โบสถ์พระแม่มารีย์ คริสตจักรแห่งการภาวนาของคนผิวดำ (Church of Our Lady of Rosary of the Black People) โบสถ์ที่สร้างด้วยหินแกรนิตด้วยสไตล์เรเนสซอง (Renaissance Style) นับว่าเป็นโบสถ์ที่มีโครงสร้างที่แข็งแรงที่สุดในเมือง สร้างขึ้นแทนที่โบสถ์เก่าเพื่อเป็นสัญลักษณ์จุดเริ่มต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากนั้นชม โบสถ์พระแม่เมอร์ซี่ (Our Lady of Mercy Church) โบสถ์ที่สร้างด้วยสไตล์รอกโกโก (Rococo Style) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นโบสถ์ของชนพื้นเมืองผิวดำครีโอล (Black Creole) ประเทศบราซิล ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจัตุรัสเมอร์ซี่ (Mercy Public Square)    ซึ่งนับว่าเป็นประตูเข้าสู่จุดศูนย์กลางที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ชม หอการค้า (Chamber House) สถาปัตยกรรมที่สวยงามยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ตัวอาคารประกอบด้วยระเบียงที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยไม้และหินเรียงตัวกันเป็นแนวตามสไตล์สเปน อาคารศาลากลาง (City Hall Building)เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความสูง 3 ชั้น สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจัตุรัสอีแมนซิเพชั่น (Emancipation Square) เป็นสถานที่ทำการของแผนกการท่องเที่ยวและที่ทำการไปรษณีย์ของเมือง และชมพิพิธภัณฑ์ปาเดร โตเลโด (Padre Toledo)
หรือ บ้านของพระบิดาโตเลโด เป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่มีค่าที่สุดที่สร้างขี้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เดิมเป็นที่พักอาศัยของ ไมนาส คอนสไปเรซี่ (Minas Conspiracy) หัวหน้ากลุ่มแม่น้ำแห่งความตาย ผู้เป็นพ่อของ คาลอส คลอเรีย โตเลโด อี เมโล (Carlos Correia Toledo e Melo) ภายในบ้านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ประกอบด้วย 16 ห้อง และ 10 ห้องมีการประดับตกแต่งเพดานเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับสัมผัสทั้งห้า (Five Sense) ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และภาพวาดของเมสตี้ แอตไทเด (Mestre Ataíde)
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ สนามบิน Belo Horizonte (BHZ) ระยะทาง 240 ใช้เวลาเดินทาง 3.30 ชม.
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารภายในสนามบิน
17.25     ออกเดินทางสู่ สนามบิน   Rio de Janeiro–Galeão Intl  โดยสายการบิน GOL Linhas Aéreas  เที่ยวบินที่2183 (ใช้เวลาบิน1 ชม.)
20.45   เดินทางถึงบราซิลเลียสนามบิน Rio de Janeiro–Galeão Intl  ริโอเดอจาเนโร
พักที่ ริโอเดอจาเนโร Novotel Rio Copacabana หรือเทียบเท่าระดับ 4 ดาว

29 ส.ค.///  วันที่สิบแปดของการเดินทาง///ริโอเดอจาเนโร
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ภัตตาคาร
ริโอเดอจาเนโร (Rio de Janeiro) ดินแดนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมเก่าแก่และวิถีชีวิตอันทันสมัย บราซิลต้อนรับผู้มาเยือนด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น วัฒนธรรม เทศกาลและอาหารอันเลิศรส ประเทศในทวีปอเมริกาใต้แห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก และมีประชากรมากถึง 170 ล้านคน บราซิลมีชายหาดความยาวหลายร้อยไมล์ซึ่งบางแห่งเงียบสงบ ขณะที่บางหาดมีชื่อเสียงในการจัดงานรื่นเริง รวมถึงเป็นที่ตั้งบาร์ ร้านอาหารและร้านกาแฟจำนวนมากนำท่านเที่ยวชมเมือง ริโอเดอจาเนโร หรือเมืองริโอ สร้างขึ้นบริเวณปากอ่าว กัวนาบานา ความหมายในภาษาโปรตุเกสว่า “แม่นํ้าเดือนมกราคม” รู้จักกันในชื่อว่า รีโอ (Rio) เป็นเมืองหลวงของรัฐรีโอเดจาเนโรในประเทศบราซิล รีโอเดอจาเนโร ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และเป็นที่รู้จักในด้านการท่องเที่ยว นำท่านชม รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ ที่รู้จักในชื่อ Christ the Redeemer รูปปั้นพระเยซูหนักกว่า 600 ตันนี้ตั้งสูงตระหง่านสูง 38 ฟุตอยู่บนยอดเขาคาร์โควาโดเหนือเมืองริโอ เด จาเนโร โดยได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นด้วยฝีมือของประติมากรชาวฝรั่งเศส พอล ลันดอฟสกี้ กับวิศวกรชาวบราซิล ไฮตอร์ ดา ซิลวา คอสต้า ใช้เวลาในการสร้างถึง 5 ปีและเปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1931 นอกจากนี้ บนยอดเขายังมีการสร้างห้องสวดมนต์ไว้เป็นที่ระลึกฉลองครบรอบ 75 ปีของรูปปั้นอีกด้วย รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (โปรตุเกส: Cristo Redentor; อังกฤษ: Christ the Redeemer) ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาดู ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอลลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474 รูปปั้นของพระเยซูที่โปรดให้พ้นบาป ยืนสูง 30 เมตร (98ฟุต) และกำลังมองข้ามเมือง Rio de Janeiro หนึ่งในรูปปั้นสูงที่สุดในโลก รูปปั้นพระเยซูยืนยื่นแขนออกมาต้อนรับ และเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ พัฒนาโดยวิศวกร Heitor da Silva Costa และองค์กร สร้างขึ้นในปี 1921 โครงการทำเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสิ้น รูปปั้นอยู่บนภูเขา Corcovado (ภูเขา Hunchback) และตั้งในอุทยานแห่งชาติ Tijucaเป็นสถานที่ปิคนิกที่รื่นเริง สามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น ซึ่งสูง 709 m (2326 ฟุต) สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro สามารถขึ้นรถไฟไปบนยอดของภูเขาเพื่อมองรูปปั้นอย่างใกล้ชิด และวิวที่สวยงามมากมาย รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปีนำท่านเดินทางสู่ ชายหาดโคปาคาบานา ชายหาดชื่อดังของบราซิล ชายหาดโคปาคาบานานี้เป็นชายหาดที่ยาวกว่า 4 กิโลเมตร มีทางเดินเลียบชายหาดสไตล์โปรตุเกสที่ปูกระเบื้องเป็นรูปคล้ายลอนคลื่นใน ทะเล อีกทั้งทิวทัศน์รอบข้างยังมีเสน่ห์ด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อน หากมองลองมาจากด้านบนจะเห็นหาดโคปาคาบานาเป็นชายหาดโค้งรับกับหาดทรายขาวและ นํ้าทะเลสีฟ้าสดใส แต่สิ่งที่ทำให้ชายหาดดูมีสีสันก็คงเป็นสาวๆแซมบ้าแสนเซ็กซี่กำลังอาบแดดบน ชายหาดในชุดบิกินี่ ส่วนหนุ่มกล้ามโตผิวสีนํ้าตาลสวยในกางเกงว่ายนํ้าก็น่าดูไม่แพ้กัน โดยกิจกรรมบนชายหาดแห่งนี้นอกจากจะมาอาบแดดและเล่นนํ้าทะเลกันแล้ว วอลเล่ย์บอลและฟุตบอลชายหาดก็เป็นกิจกรรมที่นิยมไม่แพ้กัน หลังจากเดินทางถึง เมืองเปโทรโปลิส (Petropolis) หรือที่รู้จักกันในนาม เมืองอิมพีเรียล ชื่อเมืองตั้งตามพระนามของจักรพรรดิเปโดรที่สอง (Pedro II) กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิบราซิล เมืองเปโทรโปลิสตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบราซิล เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เป็นอย่างมากในฐานะเมืองที่ประทับในช่วงฤดูร้อน
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำท่านแวะชม Quitandinha Palace โรงแรมหรูที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองเปโทรโปลิส เดิมเป็นเพียงที่พักในลักษณะคอนโดมิเนียมและได้รับการบูรณะให้กลายเป็นโรงแรมและคาสิโนขนาดใหญ่ของประเทศบราซิลในเวลา สถาปัตยกรรมของตัวอาคารออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีนามว่า Luis Fossatti โดยภายนอกอาคารใช้สถาปัตยกรรมรูปแบบนอร์แมน – ฝรั่งเศส ภายในอาคารประดับตกแต่งด้วยรูปแบบบาร็อคผสมผสานกับรูปแบบอาร์ตเดคโคบราซิล ในปีคริสต์ศักราช 1962 โรงแรมถูกปิดตัวลงและขายทอดตลาดในรูปแบบที่พักส่วนบุคคล และในปีคริสต์ศักราช 1963 โรงแรมแห่งนี้ได้รับการบูรณะให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ มีการจัดแต่งสวนโดยรอบให้เข้ากับรูปแบบของสถาปัตยกรรมของตัวอาคาร แวะชม พิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลบราซิล (Imperial Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองเปโทรโปลิส ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เดิมใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเปโดรที่สอง ซึ่งสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1845 ภายในจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนผลงานศิลปะร่วมสมัย ข้าวของเครื่องใช้ และยานพาหนะสำหรับราชวงศ์ในยุคต่าง ๆ มากกว่า 100,000 ชิ้น จากนั้นนำท่านแวะชม มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์แห่งอัลแคนทารา (Metropolitan Cathedral) เป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญเซนต์ปีเตอร์แห่งอัลแคนทารา เคยใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของจักรพรรดิเปโดรที่สองและครอบครัว ก่อสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1884 และเสร็จสิ้นในปีคริสต์ศักราช 1925 โดยใช้สถาปัตยกรรมรูปแบบโกธิคยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา ทางด้านขวาของมหาวิหารมีการสร้างสุสานสำหรับเก็บรักษาพระศพของจักรพรรดิเปโดรที่ 2 จักรพรรดินี และบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งหมดจำนวน 6 ท่าน เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางลัดเลาะไปตามถนน ซึ่งท่านจะได้เห็นบ้านโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีมาตั้งแต่อดีตทั้งสองฝั่งถนน
คํ่า          รับประทานอาหารคํ่า ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
21.55     ออกเดินทางสู่อัมเตอร์ดัม ด้วยเที่ยวบินที่ KL706 (บริการอาหารบนเครื่องบิน) ใช้เวลาบิน11.25ชม.
30 ส.ค./// วันที่สิบเก้าการเดินทาง///อัมเตอร์ดัม-กรุงเทพฯ
14.20  เดินทางถึงอัมเตอร์ดัมเพื่อพักเปลี่ยนเครื่องเป็นเวลา 3.30 ชม.
17.50   ออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินKLM เที่ยวบินที่KL875
(บริการอาหารค่ำและเช้าบนเครื่องบิน) (ใช้เวลาในการบิน11ชม.)
31 ส.ค.///วันที่ยี่สิบของการเดินทาง/// กรุงเทพฯ
09.50     ถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพและประทับใจยิ่ง
………………………………………………………………………………………………………………..

อัตราค่าบริการ
ผู้ใหญ่พักห้องคู่หรือเด็ก1 ท่านพักกับผู้ใหญ่1 ท่าน 299,000.-
ในกรณีต้องการพักห้องเดี่ยวชำระเพิ่ม   39,000.-
เด็กต่ำกว่า12 ปี (เสริมเตียง-พักกับผู้ใหญ่อีก2 ท่าน) 299,000.-