อัฟกานิสถาน-ปากีสถาน-อินเดีย 17 วัน
11-27 ตุลาคม ราคา
179,000 บาท (กินดีอยู่ดี)
ตามรอยจารึกพระถังซำจั๋งตักศิลา สู่ หุบเขาสวัต
ลาฮอร์-การาจี-อัมริตสา-วิหารทองคำโมเฮนโจ ดาโร
หุบเขาบามิยัน เมืองมรดกโลกในอัฟกานิสถาน

11 ต.ค.//วันแรกของการเดินทาง//กรุงเทพฯ-เดลฮี-อัมริตสา
05:00     พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกชั้น 4 ประตู 4 ตัวอักษร J เคาน์เตอร์สายการบินไทย (Thai Airways) โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯคอยอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบเอกสารก่อนการเดินทาง

07:35     เดินทางสู่ กรุงเดลฮี (Delhi) โดยสายการบินไทย (Thai Airways) เที่ยวบินที่ TG 323 (ใช้เวลาบิน 4.30 ชม.)

10:35     เดินทางถึงสนามบินอินทิรา คานธี (Indira Gandhi Intl) กรุงเดลฮี (Delhi) ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร  จากนั้นนำท่าน ชมหอคอย กุตับ มินาร์( Qutb Minar and its Monuments, Delhi )สร้างในสมัย กุบุดดิน อิบัก แห่งราชวงศ์ทาสยกทัพมาตีเมืองเดลลีและได้สถาปนารัฐสุลต่านแห่งเดลีขึ้นแล้วจึงบัญชาให้สร้างหอกุตับมินาร์ในปี 1193 เป็นศิลปะแบบอิสลาม ท่านสร้างมัสยิดและหอคอยกุตับมินาร์เพื่อเป็นการประกาศชัยชนะเหนือฮินดู โดยตัวของมัสยิดตัวอาคารเป็นวัดฮินดูเก่าและประยุกต์ตกแต่งให้เป็นมัสยิดโดยสร้างโดมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิมคลอบเราจะสังเกตเห็นได้จากเสาภายใน มัสยิดจะมีการแกะสลักรูปซึ่งเป็นศิลปะแบบฮินดูเป็นการผสมผสานระหว่างสองวัฒนธรรม หอกุตับมินาร์ มีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ไม่ได้สร้างครั้งเดียวเสร็จสร้างเสร็จโดยลูกหลานของท่านกุบุดดิน อิบัก บริเวณที่สร้างกุตับมินาร์แต่เดิมนั้นเป็นวัดฮินดูและวัดเชน ภายในบริเวณกุตับ มินาร์ เราจะได้ชมมัสยิด สุสาน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเสาเหล็กที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 สร้างเพื่อถวายพระวิษณุ หอคอยแห่งนี้มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 73 เมตร และได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลกในปี1993 ด้วย
เที่ยง      บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
15.00     นำท่านเดินทางไปยังสนามบิน
16.55    ออกเดินทางสู่ เมืองอัมริตสา โดยสายการบิน AIR INDIA เที่ยวบินที่ AI 16 (ใช้เวลาบิน1.15 ชม.)

18.00     ถึงสนามบินเมืองอัมริตสา รัฐปัญจาบ เป็นรัฐของชาวสิกข์ที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาวอินเดียชาวสิกข์โดยส่วนใหญ่เป็นผู้มีอันจะกิน มีธนาคาร เป็นของตัวเองบริหารจัดการการเงินโดยชาวสิกข์กันเอง ชาวสิกข์ถือเป็นผู้ ที่ให้ความเสมอภาคกันทุกคน รวย จน มีสิทธิ์เท่าเทียมกันเมื่อประเทศอินเดียมีปัญหาชาวสิกข์จะเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่จะเรียกร้องต่อต้านศัตรูของประเทศ
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักที่เมือง อัมริตสา โรงแรมรามาดา แอมริตซาร์ (
Hotel Ramada-Amritsar) หรือเทียบเท่า 5 ดาว

12 ต.ค.//วันที่สองของการเดินทาง//วิหารทองคำวัดเงิน-ชมสวนชาลเลียนวลา-ชายแดนอินเดียและปากีสถาน-ลาฮอร์-การาจี
เช้า         บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่โรงแรม
จากนั้นนำท่านชมวัดศรีเดอร์เกียนาหรือมีอีกชื่อว่าวัดเงิน มากจากประตูทางเข้าวัดทำจากเงิน วัดฮินดูที่งดงามมากโดย จำลองแบบมาจากวิหารทองคำ แต่สิ่งที่โดดเด่นของวัดนี้คือประตูที่ทำจากเงินที่มีการแกะสลักภาพของเทพเจ้า ในศาสนาฮินดู อาทิ พระแม่ลักษมี พระแม่สุรัสวดี พระแม่อุมา พระแม่กาลี พระฆิศเนศ สิงโตสัญลักษณ์แห่งพลัง อำนาจ ตัววิหารหลักล้อมรอบด้วยทะเลสาบ จากนั้นนำท่านชม พระวิหารฮัรมัรดิร ซาฮิบ หรือวิหารทองคำ ตัววิหารทองคำฉาบ ด้วยทองคำหนัก 800 ตัน วิหารทองคำถือเป็นสถานที่ศักดิ์ สิทธิ์ หรือหัวใจของชาวสิกข์ ชมบรรยากาศรอบๆๆ วิหารที่มีทะเลสาบอันมีน้าใสสะอาดล้อมรอบน้านี้ชาวสิกข์ถือว่าเป็นน้าศักดิ์ สิทธิ์เปรียบเสมือนน้าอมฤต อันเป็น ที่มาของชื่อเมืองอัมริตสาหรือเมืองแห่งน้าอันศักดิ์ สิทธิ์ นั่นเอง ชมกิจกรรมบริเวณรอบๆวิหารทองคำ จะเห็นชาวสิกข์มาอาบน้าชำระล้างร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ ก่อนเข้าไปกราบและสวดมนต์พร้อมๆกันที่ตัววิหารทองคำ หรือ บางท่านก็ปฏิบัตินั่งสมาธิภาวนาตามรูปแบบของตัวเอง วิหารแห่งนี้เมื่อต้องแสงตอนเช้าก็งดงามสุดบรรยายเป็น สีเหลือทองอ่อน ในยามค่าคืนก็ประดับตกแต่งด้วยดวงไฟงดงามระยิบระยับในยามราตรี ชมสวนชาลเลียนวลา อนุสรณ์สถานระลึกถึงผู้ เสียชีวิตที่เกิดเนื่องจากทหารอังกฤษได้ยิงกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งที่ไม่มีอาวุธในมือตายเป็น จำนวนมากผู้ชุมนุมบางส่วนกระโดดหนีตายไปในบ่อน้าและถูกยิงตายในบ่อถึง 120 คนเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือน ใจและขวัญของคานธีจนต้องเริ่ มเรียกร้องเอกราชด้วยวิธีอหิงสาจนได้รับเอกราชในที่สุด ชมอนุสาวรีย์รูปทรง คล้ายเม็ดข้าวสารตั้ งขึ้นเป็นลูกกระสุนขนาดใหญ่เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์อันโหดร้ายในครั้งนั้นชมรอยกระสุนที่ทหารอังกฤษกลาดยิงใส่ผู้ชุมนุมที่พยายามปีนรั้วหนีเอาชีวิตรอด
เที่ยง      รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร
จากนั้นออกเดินทางสู่ชายแดนระหว่างอินเดียและปากีสถานอยู่ในอาณาเขตเมืองอัตตาริ นำท่านชมป้อมประวัติศาสตร์ ลาฮอร์ (Lahore  Fort) ถูกสร้างในศตวรรษที่ 11 หลังคริสตกาล  เป็นสถานที่แห่งเดียวที่สามารถเห็นความแตกต่างของสถาปัตยกรรมโมกุล  ในแต่ละยุคสมัยของผู้ปกครองที่ได้สร้างต่อเติม  ภายในป้อมเยี่ยมชม ชิช มาฮาล(Shish  Mahal) หรือที่เรียกว่า พระราชวังกระจก (The  Palace of Mirrors) ชม NAULAKHABUNGA  ซึ่งตกแต่งในแบบ INLAID โดยใช้อัญมณีหลากชนิดในการสร้าง  ห้องนี้สร้างโดย จักรพรรดิชาร์ จาฮัน  ชมอุโมงค์หนีภัยของพระราชวัง  จากนั้นนำชมบาดชาฮ์ (Badshahi)  หรือ สุเหร่าหลวง (Royal  Mosque) สุสานของนักปรัชญา และกวีอิคค์บาล (Iqbal) ผู้ริเริ่มความคิดว่าน่าจะมีประเทศปากีสถานในหมู่มุสลิม จากนั้นนำท่านชม พิพิธภัณฑ์เมืองลาฮอร์  ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศปากีสถาน ที่ได้รวบรวมสิ่งของทางประวัติศาสตร์ที่มีค่ามากมายไว้ มีห้องแสดงโชว์หลายห้อง  จากคันทราราฎษ์ (GANDHARA) ศาสนาพุทธ(BUDDHIST),  ศาสนาเชน (JAIN) ,โมกุล (MOGUL)  และสมัยอาณานิคม พระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงที่สุดคือพระพุทธรูปปางทุกข์กริยาของพระพุทธเจ้า (สิทธทัตถะ) ก็แสดงอยู่ที่นี่

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
21.45     เดินทางสู่ การาจี โดยสายการบิน Shaheen Air เที่ยวบินที่145 (ใช้เวลาเดินทาง 1.45 ชั่วโมง)

23.30     เดินทางถึงสนามบินกรุงการาจี จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก

พักที่เมือง การาจี โรงแรม Movenpick Hotel Karachi หรือเทียบเท่า 5 ดาว
13 ต.ค.//วันที่สามของการเดินทาง//การาจี-ทัชทา- Sehwan
เช้า         บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่โรงแรม
นำท่านเดินทางไปยัง เมืองไฮเดอราบาด (Hyderabad) ระหว่างทางนำท่านแวะชม สุสานเชาคานดิ (Chaukundi Necropolis) เป็นสถานที่ฝังศพของชนเผ่า Jokhio และ Baloch สร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของราชวงศ์โมกุล (คริสต์ศตวรรษที่ 15 – 18) สถาปัตยกรรมของสุสานทั้งหมดสร้างขึ้นโดยหินทรายที่มีการแกะสลักอย่างปราณีตและงดงาม
เที่ยง      รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร
ชม เมืองทัชทา (Thatta) เป็นเมืองที่ชาวปากีสถานเชื่อว่าเป็นสถานที่ต้นกำเนิดของศาสนาฮินดู นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของมหาสุสานเมกลี (Makli Necropolis) ซึ่งประกอบไปด้วยอนุสาวรีย์หลากหลายรูปแบบตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 18 จากนั้นแวะชม มัสยิดชาร์ห จาฮาน (Shah Jahan Mosque) สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1647 และเสร็จสิ้นในปีคริสต์ศักราช 1659 ในช่วงรัชสมัยของราชวงศ์โมกุล ก่อสร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างเอเชียกลางและอิหร่าน ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกที่มีความละเอียดที่สุดในเอเชียใต้ เมื่อได้เวลาอันสมควรเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่พัก ณ เมือง Sehwan
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักที่เมือง Sehwan โรงแรม Hotel Sehwan Divine ระดับ 2 ดาวดีที่สุดในเมือง

14 ต.ค.//วันที่สี่ของการเดินทาง// Sehwan -โมเฮนโจ ดาโร
เช้า         บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่โรงแรม
นำท่านเดินทางสู่เมืองโมเฮนโจ ดาโร (Mohenjo-Daro) ระยะทาง 160 กม. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม.
เที่ยง
      รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร
นำท่านชม ซากโบราณสถานเมืองโมเฮนโจ ดาโร (Mohenjo-Daro) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถาน นักโบราณคดีเชื่อว่าเมืองแห่งนี้ก่อสร้างโดยชาวดราวิเดียน โบราณสถานดังกล่าวเคยเป็นหนึ่งในมหานครที่เก่าแก่ที่สุดในยุคสัมฤทธิ์ (Bronze age) มีรูปแบบการปกครองลักษณะรวมอำนาจ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบเกษตรกรรมมีการเพาะปลูกพืชเกษตร เช่น ฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ว งา ข้าวโพด มียุ้งฉางสำหรับเก็บผลผลิตทางการเกษตร มีการก่อสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ มีระบบชลประทาน สังคมวัฒนธรรม การวางผังเมืองที่มีระเบียบ งดงาม มีถนนตัดกัน แบ่งเมืองเป็นตารางแยกพื้นที่ใช้สอยออกจากกัน เช่น ที่อยู่อาศัย อาคารสาธารณะ ที่อยู่ช่างฝีมือ ยุ้งข้าว  ป่าช้า ท่าเรือ พื้นที่ทางศาสนา บ้านเรือนสร้างด้วยอิฐ มีระบบระบายน้ำสองท่อดินเผาอยู่ข้างถนน  เพื่อรับน้ำที่ระบายจากบ้าน นักโบราณคดีเชื่อว่าซากปรักหักพังของเมืองโมเฮนโจ ดาโร จะช่วยไขความลับของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงอารยธรรมอิสดัส วัลเลย์ (Indus Valley) ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดีย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
18.45     เดินทางสู่ การาจี เที่ยวบินที่ PK 545 (ใช้เวลาเดินทาง 1.10 ชั่วโมง)

19.55     เดินทางถึงสนามบินกรุงการาจี
ค่ำ
          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร จากนั้นนำท่านเข้าสู่ที่พัก
พักที่เมือง การาจี โรงแรม Movenpick Hotel Karachi หรือเทียบเท่า 5 ดาว

15 ต.ค.//วันที่ห้าของการเดินทาง//การาจี
เช้า         บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่โรงแรม
นำท่านแวะชม สุสาน Mazar-e-Quaid หรือที่รู้จักในนามสุสานแห่งชาติ เป็นสถานที่ฝังศพของบรรดาผู้นำอันยิ่งใหญ่ของประเทศปากีสถาน ประกอบด้วย Muhammad Ali Jinnah (ผู้ก่อตั้งประเทศปากีสถาน) Māder-e Millat (แม่แห่งชาติ ผู้เป็นน้องสาวของผู้ก่อตั้งประเทศ) และ Liaquat Ali Khan (นายกรัฐมนตรีคนแรกของปากีสถาน) สุสานถูกสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1960 และเสร็จสิ้นในปีคริสต์ศักราช 1970 ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modernist Style) โดยตัวอาคารสุสานถูกสร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาว แวะชม มัสยิดอีโตบา (Masjid e Toba) เป็นมัสยิดโดมเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1969 โดยใช้สถาปัตยกรรมยุคกลางแบบร่วมสมัย ตัวอาคารมัสยิดสร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 72 เมตร มีห้องสวดมนต์กลางที่สามารถจุคนได้ราว 5,000 คน แวะชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติปากีสถาน (National Museum) ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 17 เมษายน 1950 เพื่อรวบรวม ศึกษา และจัดแสดงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของชาวปากีสถาน และเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวปากีสถานได้เป็นอย่างดี อาทิ คอลเลกชั่นเหรียญเก่าแก่ราว 58,000 เหรียญ หนังสือทางโบราณคดีจำนวน 70,000 เล่ม เป็นต้น
เที่ยง      รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร
แวะชม พื้นที่ซักล้าง หรือ โดบิ กอท (Dhobi Ghat) ชุมชนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะแบบเดียวกันกับ Dhobi Ghat ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย  เป็นพื้นที่สำหรับการซักล้างเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ฯลฯ แวะชม ถนนไซบันนิสา (Zaibunissa Street) ถนนย่านการค้าที่สำคัญของเมืองการาจี และเป็นสถานที่ชอปปิ้งยอดนิยมของชาวปากีสถานตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1980 แวะชม ถนนอับดุลเลาะห์ ฮารูน (Abdullah Haroon Street) เดิมมีชื่อว่าถนนวิกตอเรีย (Victoria Road) เนื่องจากเป็นเส้นทางที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ แห่งราชวงศ์อังกฤษ เสด็จประพาสรอบเมืองการาจี ในปีคริสต์ศักราช 1961 จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยัง ตลาดเซเนป (Zeinab Bazaar) และ ตลาดโบริ (Bori Bazaar) เพื่อเลือกซื้อสินค้าและของที่ระลึกประจำเมืองการาจี เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางต่อไปยัง หาดคลิฟตอน (Cliffton Beach) เพื่อชมทัศนยีภาพในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักที่เมือง การาจี โรงแรม Movenpick Hotel Karachi หรือเทียบเท่า 5 ดาว
16 ต.ค.//วันที่หกของการเดินทาง//การาจี-เปชวาร์
เช้า         บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของที่โรงแรม

10.00     เดินทางสู่ เปชวาร์ เที่ยวบินที่ PK 350 (ใช้เวลาเดินทาง 1.50 ชั่วโมง)

11.50     เดินทางถึงสนามบินเปชวาร์
เที่ยง
      รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร
นำท่านชม พิพิธภัญฑ์เปชวาร์ (Peshawar Museum) ซึ่งเป็นสถานที่รวบรวมพระพุทธรูปในศิลปะแบบคันธาระอันเป็นพุทธศิลป์ที่งดงามไว้มากที่สุด ตัวอาคารดัดแปรงมาจากวิคตอเรีย   เมโมเรียล  ฮอลล์ (Victoria Memorial Hall) ซึ่งสร้างขึ้นในสมัย ค.ศ. 1907 เป็นการรวมเอารูปแบบสถาปัตยกรรมของอังกฤษ เอเชียใต้ ฮินดู พุทธและอิสลาม (จักรวรรดิโมกุล) ไว้อย่างลงตัวและสวยงาม ที่นี่รวบรวมวัตถุโบราณเกือบ 14,000 ชิ้น จากยุคสมัยต่างๆ โดยเฉพาะพุทธศิลป์แบบคันธาระ (Gandhara) กรีก-พุทธ (Greco-Buddhist) กุษาณะ (Kushan) ปาร์เธียน (Parthian) และอินโด-ซิเธียน (Indo-Scythian) ทั้งรูปปั้น เหรียญ พระพุทธรูป หนังสือโบราณ ศาสตาวุธ เครื่องแต่งกาย เคื่องประดับ ภาพวาด ข้าวของเครื่องใช้ และหัตถกรรมเปอร์เชีย ห้องโถงหลักจัดแสดงพุทธประวัติ ศิลปะคันธาระตั้งแต่การประสูติ การเสด็จออกบวช การเข้าศึกษาในสำนักต่างๆ การบำเพ็ญทุกรกิริยา การตรัสรู้ แสดงธรรม แสดงยมกปาฏิหาริย์ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นพระพุทธรูปที่ย้ายมาจาก ทาค ติไบน์ และพระบรมสารีริกธาตุ และยังมีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมและชีวิตที่ต้องสู้รบของชาวบ้านพื้นเมือง อาทิ ดาบ หอก ธนู เกราะ ปืนลูกซอง ลูกปืน กล่องดินปืน เที่ยงเมืองเปชวาร์เก่าผ่ายซุ้มประตูคาบูลี (Kabuli Gate) ที่วันนี้คงเหลือแต่ชื่อ ในอดีตมีกำแพงล้อมรอบเมืองเปชวาร์และมีประตูทางเข้าออกถึง 16 ทางและที่โด่งดังมากที่สุดคือประตูคาบูลี ซึ่งนำไปสู่ช่องเขาไคเบอร์และเมืองคาบูลของอัฟกานิสถาน แต่ได้ถูกทำลายลงเนื่องจากภาวะสงครามในการสู้รบกับกองกำลังทหารตาลีบัน ปัจจุบันหลงเหลือประตูที่สามารถซ่อมแซมได้คือ ประตู Lahori , Sarasia , Ganj , Sirki , Sard Chah และ Kohati สองข้างทางมีบ้านเก่าสูง 2-3 ชั้นสร้างจากอิฐ กับกรอบประตูไม้และระเบียงไม้ที่แกะสลักลวดลายอย่างงดงาม  จากนั้นนำท่านชม ตลาดคิสซ่า ควานิ (Qissa Khawani Bazaar) คิสซ่า ควานิ แปลว่า ถนนแห่งนักเล่านิทาน ในยามอาทิตย์อัสดงนักท่องเที่ยวที่มาเยือน หรือชาวเมืองมักจะได้รับการเลี้ยงต้อนรับจากนักเล่านิทานมืออาชีพตามร้านน้ำชาซึ่งตกแต่งหน้าร้านด้วยกาน้ำชาทองเหลืองขนาดใหญ่ ถ้วยชาและกาน้ำชาแขวนเรียงรายและยังเป็นถนนที่มีร้านอาหารอร่อยขึ้นชื่อ โดยเฉพาะขนมปัง รวมถึงเคบับและทิ๊คก้า เนื้อย่างบนเตาถ่านร้อนๆ กรุ่นกลิ่นหอม ร้านขายผลไม้ละลานตา และเนื่องจากเป็นทางผ่านไปสู่ช่องเขาไคเบอร์ ที่นี่จึงรวบรวมสินค้าจากทั่วเอเชียกลาง อาทิ พรมทอเนื้อดี เครื่องประดับแบบอัฟกัน งานหัตถกรรมชาวพื้นเมือง งานแกะสลักไม้ งานผ้าหรือสิ่งทอทุกประเภท เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวแบบชาวปีชตุน (Pashtun) เครื่องเทศ เครื่องหนัง โดยเฉพาะรองเท้าหนังของชาวเปชวาร์ที่เรียกว่า ‘Chappal’ และกระเป๋าเดินทางที่เบาและแข็งแรงเรียกว่า ‘Yakhdaan’ ซึ่งความหลากหลายและเอกลักษณ์เฉพาะนี้เองที่โลเวลล์ โธมัส (นักท่องเที่ยว) และเฮอเบิร์ต เอ็ร์ดส์ (ผู้ตรวจการณ์ชาวอังกฤษแห่งเปชวาร์) เรียกถนนเส้นนี้ว่า “พิคคาดิลลี่แห่งเอเชียกลาง” (Piccadilly of Central Asia) และไม่ไกลจากตลาดคลิสซ่า ควานิ จะนำคุณไปพบกับอีกหนึ่งตลาดที่น่าเดิน คือ ตลาดช่างทำเครื่องทองแดง (Coppersmiths bazaar) ที่เคยเฟื่องฟูตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล จนถึงคริสตศวรรษที่ 5 และในปัจจุบันเป็นตลาดช่างทำเครื่องโลหะฝีมือดี เช่น โหลแกะสลักลวดลาย ชาม คนโทขนาดใหญ่ และจานที่กองเรียงเป็นต้น รวมถึงเครื่องประดับนานาชนิด นำท่านชม มัสยิดมาฮาบัต ข่าน (Mosque of Mahabat Khan) ซึ่งเป็นมัสยิดของจักรพรรดิโมกุลที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในเมือง สร้างโดยเจ้าผู้ครองเมืองเปชวาร์ นาวับ มาฮาบัต ข่าน (Nawab Mahabat Khan) ซึ่งเป็นหลานของนาวับ ดาดัน ข่าน (เจ้าผู้คลองเมืองละฮอร์) ใน ค.ศ. 1630 ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิชาห์ เจฮาน (Moghal Emperor shah Jehan)ผู้สร้างทัชมาฮาลอันลือชื่อ และกษัตริย์ออรางเซ็บ คนรุ่นหลังเกือบไม่ได้ชมความงามของมัสยิกแห่งนี้ เพราะในสมัยที่ชาวซิกขึ้นมาเรือนจำอำนาจและปกครองเมืองได้เข้ามาทำลาย แต่ในสมัยของจักรพรรดิอังกฤษได้มีการบูรณะซ่อมแซม เพื่อรักษาสถาปัตยกรรมแบบจักรพรรดิโมกุลที่สวยงามให้คงอยู่ จุดที่โดดเด่น คือ การตกแต่งภายในห้องโถงด้วยภาพวาดดอกไม้สีสันสวยงาม และรูปทรงเลขาคณิตที่วิจิตรงงดงาม

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

ที่พักเปชวาร์ โรงแรม Pearl Continental Peshawar หรือเทียบเท่า 5 ดาว
17 ต.ค.//วันที่เจ็ดของการเดินทาง// เปชวาร์-เปชวาร์-หุบเขาสวัต

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองชาร์แซสดาห์ (Charsadda) ซึ่งอญุ่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเปชวาร์ เพียง 30 กม. เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเอเชีย  เนื่องจากมีบันทึกว่า ช่วง 324 ปีก่อน คริสตกาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชทรงนำทัพผ่านมาที่นี่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าขายในแถบเอเชีย (Asiatictrade) ทำให้เกิดการผสมผสารศิลปะกรีกและอินเดีย กลายเป็นพุทธศิลป์ที่งดงามกว่าศิลปะใดๆ เรียนว่าศิลปะแบบคันธาระ เชื่อกันว่าช่างที่สร้างพระพุทธรูปยุคแรกๆ คือ ชนชาติกรีกที่หันมานับถือพุทธศาสนา ที่นี่จึงมีหลักฐานของศาสนาอยู่หลายแห่ง นำท่านชม โบราณสถานจามาการี (Jamal Ghari) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขาปัจจา (Pajja Hills) ซึ่งสูงที่สุดในเมือง 2,056 เมตร ท่าน เซอร์จอห์น มาร์แชล (Sir John Marshall)นักโบราณคดีชื่อดัง กล่าวไว้ว่า สถูปที่นี่เป็นสถูปเก่าแก่ที่สุดในสมัยคันธาระ สถูปเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงตอนพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน และอีกหนึ่งจุดเด่นที่แตกต่างของที่นี่ คือโบสถ์หลังเล็กที่กระจายล้อมรอบตามมุมต่างๆ ของสถูปองค์ใหญ่ และวัดโบราณ ชม โบราณสถานชาร์นาโกเถรี (Chanako Dheri) อันหมายถึง เนินดินมันเงา (Glazing Mound) สูง 122 เมตร มีพระโอรสของวิชันทรา (Vishantra) ประกอบด้วยห้องโถง ห้องประชุม ห้องเรียน ห้องพัก ตามบันทึกของหลวงจีนฮวนฉาง (Hsuan Tsang) หรือพระถังซำจั๋งในช่วง ค.ศ. 630 ที่ได้เดินทางจารึกแสวงบุญจากเมืองฉางอานผ่านเส้นทางสายไหมอันยาวไกลจนผ่านมาบริเวณแคว้นคันธารราฐ ทและได้บันทึกไว้ว่า ที่นี่เต็มไปด้วยสถูปและวัด จากนั้น ไปต่อยัง โบราณสถานทราลี (Trali) อยู่ห่างจากโบราณสถาณจามาลการี ไปทางตะวันออก 2 กม. ที่นี่มีวัดและสถูปที่ยังหลงเหลืออยู่

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน (โดยทางคณะจะมีอาหารกล่องเตรียมไว้ให้)
นำท่านชม แหล่งโบราณสถานทาค ติไบน์ (Takht-i-Bhai) ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกโลกอันลือชื่อ“ทาค ติไบน์” หมายถึง บัลลังก์หรือบ่อน้ำที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง พุทธสถานแห่งนี้ อยู่ห่างจากเมืองมาร์ดาน 15  กม.  มีพระพุทธรูปยุคคันธาระที่สวยงาม โดยฉพาะประติมากรรมสลักหินรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่ง ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน โบราณสถานแห่งนี้แบ่งออกเป็น 4ส่วน ลานสถูปซึ่งอยู่ตรงกลางเป็นลานกว้างลอบล้อมด้วยอาคารที่เป็นตึกชั้น ซึ่งแบ่งออกเป็นห้องพักของ พระสงฆ์จำนวนมาก และห้องประดิษฐานของพระพุทธรูป ปางต่างๆ ก่อนถูกนำไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์เปชวาร์ดังที่ได้ชมความงดงามกันไปเมื่อวันก่อน ยังคงมีร่องรอยของที่ตั้งสถูปองค์ใหญ่ ส่วงสถูปองค์เล็กถูกสร้างกระจายอยู่ 35 องค์ และห้องสวดมนต์เล็กๆ 30 ห้อง หน้าผาบริเวณใกล้เคียงก็มีวัดและที่พักของพรสงฆ์กระจายอยู่ โดยรอบ แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของผู้ที่ดำริให้สร้างในยุคสมัยนั้นได้อย่างหน้าอัศจรรย์ เพระก้อนหินแต่ละก้อนที่ถูกนำขึ้นไปก่อสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย และนับเป็นความโชคดีที่มรดกโลกแห่งนี้รอดพ้รจากการบุกรุกทำลายของชนชาติที่นับถือศาสนาอื่นเพราะสร้างอยู่บนเขา การจะสังเกตว่าแต่ละจุดมีการบูรณะซ่อมแซมเมื่อไหร่ให้สังเกตอิฐที่สลักปีที่ซ่อมแซมเช่น 1920 , 1928 , 1937 เป็นต้น

บ่าย        ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองมาร์ดาน (Mardan) นำท่านชม โบราณสถานชาห์บาซการ์ฮี(Shahbaz Garhi) ที่หมู่บ้านชาห์บาซ์การ์ฮี สันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณที่มีชื่อว่า วารูชา (Varusha) ตั้งอยู่ทิศตะวันออกห่างจากเมืองมาร์ดาน 13 กม. อยู่ระหว่างเส้นทางที่จะไปคาราโครัม ที่นี่เป็นหนึ่งในพุทธสถานที่สำคัญของคัฯธษรราฐ ทางใต้ของหมู่บ้านที่สุดปลายเขามี แผ่นหินประกาศพระราชโองการพระเจ้าอโศก (Ashoka Rock Edicts) ถูกจารึกบนแผ่นหินสองแผ่นบนภูเขาด้วยภาษาคาโรสตี (Kharosthi script)พุทธศาสนา และเทศนาธรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะ แผ่นหินที่พบนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นพุทธสถานโบราณที่สำคัญจากนั้นเดินทางต่อไปยัง เมืองสวัต (Swat)

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

ที่พักเมืองสวัต    โรงแรม SWAT SERENA HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว ดีสุดในเมืองนี้

18 ต.ค.//วันที่แปดของการเดินทาง หุบเขาสวัต

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

นำทานเข้าชมความงดงามของ หุบเขาสวัต (Swat Valley) ซึ่งเป็นสถานที่ที่สวยงามที่สุดในดินแดนปากีสถานด้วยความงามของหุบเขาสวัต ที่นี่ถูกขนาดนามว่า “สวิตเซอร์แลนด์ของปากีสถาน” หุบเขานี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเปชวาร์ ในอดีตเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ที่นี่เป็นศูนย์กลางของอริยธรรมทางพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาก ซึ่งเรายังคงพบหลักฐาน และร่องรอยทางประวัติศาสตร์ในสถานที่ต่างๆ เดิมที่นี้มีชื่อว่าอุทยาน (Udayana) ซึ่งเป็นคำบาลี-สันสกฤต มีความหมายว่า สวนอันรื่นรมย์ มีแหล่งโบราณคดีและวัดวาอารามต่างๆ ย้อนหลังไปในยุคของพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ ยังมีแหล่งธรรมชาติน่าสนใจมากมาย ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงงดงามตระการตา แม่น้ำ ป่าสีเขียวชอุ่ม และยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ เมืองมัสยาน (Madyan) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำสวัต มีความสูง 1,312 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอากาศเย็นสบาย มีร้านค้า โรงแรม และร้านอาหารมากมาย ตลอดแนวถนน อีกทั้งยังเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงปลาเทราท์ สถานที่ขายของหัตถกรรมพื้นบ้าน งานเย็บปักถักร้อยพื้นเมือง และโบราณวัตถุตามร้านค้าริมถนน นำท่านชม เมืองบาห์เรน (Bahrain) เมืองเล็กๆริมแม่น้ำ ห่างจากเมืองมัสยานประมาณ 10 กม. เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาอีกแห่งหนึ่ง เพราะอยู่บนถนนที่จะไปรีสอร์ทสวยงามอื่นๆ คลาคล่ำไปด้วยตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร รวมทั้งโรงแรม นอกจากนี้ยังมีของตกแต่งที่ใช้ในครัวเรือนแบบดั่งเดิมขาย ความงดงามของสถาปัตยกรรมที่เห็นได้ชัด คือ เสาไม้ที่อยู่ในมัสยิด และตามอาคารบ้านเรือน ที่ประณีตงดงาม

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

นำท่านชม เจดีย์บัทคารา (Butkara Stupa) เป็นเจดีย์พุทธที่สำคัญแห่งหนึ่งในเขตของสวัต สร้างขึ้นโดกษัตริย์เมารยะ ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอิตาเลียน ในปี ค.ศ. 1956 มีการตกแต่งสถาปัตยกรรมผสมผสานแบบกรีกโบราณ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลโดยตรงจาก อินโด-กรีก ซึ่งเป็ กษัตริย์ปกครองของอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือในช่วงเวลานั้น และได้พัฒนาเป็นสถาปัตยกรรมแบบกรีกพุทธ (Greco-Buddhistarchitecture)ของที่ถุกค้นพบมากมายเหล่านี้ ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้านศิลปะตะวันออกและพิพิธภัณฑ์ศิลปะโบราณในเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ชมพิพิธภัณฑ์สวัต (Swat museum)ที่เก็บรวบรวมสมบัติวัตถุของหุบเขาสวัตที่ครบครัน ทั้งวิวภูเขาหิมะและมรดกทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งพระพุทธกาลก่อนพระพุทธรูปโบราณแบบคันธารราฐ(Gandahara)และอื่นๆเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้ในอดีต และจัดแสดงเรื่องราวต่างๆในสมัยอันรุ่งเรืองรวมทั้ง ชีวิตโบราณของภูมิภาคนี้ งานปักผ้า เครื่องประดับท้องถิ่น และงานไม้แกะสลัก
นำท่านชม พระราชวังฤดูร้อน มูกาซ่าร์ (Murghazar)สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1962 โดย อับดุล เมียร์กูล วาดูส เพื่อมาพักผ่อนในฤดูร้อน พระราชวังสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาว ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศอินเดีย เป็นหินอ่อนชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในทัชมาฮาล (Taj Mahal)พระราชวังฤดูร้อน มูกาซ่าร์ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งในตำบลสวัต ดึกดูดนักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมที่นี่ พระราชวังได้ถูกซ่อมแซมเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชม และยังทำเป็นโรงแรมอีกด้วย ในส่วนของพื้นที่ส่วนพระองค์ของกษัตริย์ได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่พระราชวังนั้นเป็นสีขาวทั้งหมด จึงเป็นที่มาของชื่อโรงแรมว่า White Palace นำท่าน ช้อปปิ้งตลาดมินโกร่า (Mingora Bazaar)สินค้าที่มีชื่อเสียงเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของหุบเขาสวัต จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก ของตกแต่งบ้าสน งานเย็บปักผ้าต่างๆ อิทิเช่น งานปักผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมไหล่ เสื่อ งานหัตถกรรมต่างๆ หมวก เฟอร์นิเจอร์ไม้ น้ำผึ้ง ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาก นอกจากนี้ที่นี่ยังมีชื่อเสียงด้านหินต่างๆ ทั้งหินมีราคา และกึ่งมีค่า เช่น มรกต

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

ที่พักเมืองสวัต    โรงแรม SWAT SERENA HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว ดีสุดในเมืองนี้

19 ต.ค.//วันที่เก้าของการเดินทาง สวัต-ตักศิลา-อิสลามาบัด

เช้า         รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองตักศิลา (Taxila) อดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของแคว้นคันธาระ เมืองสองพันกว่าปีมาแล้ว เป็นศูนย์กลางแห่งความรู้และปรัชญา เดิมมีชื่อว่าตักชาศิลา (Takshasila) ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต ต่อมาเมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชรุกรานอินเดีย เมื่อ 326 ปีก่อนคลิสตกาล ทรงมาหยุดพักที่เมืองนี้ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นตักศิลา (Taxila)ในอดีตเมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะเมืองตัดหิน (City of Cut Stone) เพราะหินที่ใช้สร้างโบราณสถานต่างๆ นำมาจากที่นี้นั้นเอง ปัจจุบันก็ยังเห็นชาวบ้านแกะสลักหินอยุ่ทั่วไป เช่น ทำครกหิน ป้ายหินเป็นต้น นำท่านชม พิพิธภัณฑ์ตักศิลา ซึ่งรวบรวมสิ่งของล้ำค่าไว้มากมายกว่า 7,000 ชิ้นทั้งเครื่องประดับที่ทำจากเงิน ทอง และทองเหลืองสมัยเก่า รวมทั้งเพชรพลอย เหรียญเก่าแก่ที่มีอายุไม่เกินกว่า 2,000 ปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเหรียญกรีกในยุคสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และพระพุทธรูปสมัยคันธาระ ชิ้นที่งดงามที่สุด คือพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ายามเมื่อทรงตรัสรู้ งดงามและสงบนิ่ง เป็นผลงานมาสเตอร์พีชที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือของศิลปินในยุคนั้น ชม ธรรมราชิกา (Dharmarajika) โบราณสถานกลางแจ้ง ที่มีสถูปขนาดใหญ่สูง 50 ฟุต เชื่อกันว่า เป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดในปากีสถาน สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 พระสถูปที่ธรรมราชิกาแห่งนี้ มีรูปทรงครึ่งวงกลม มีฐานโดยรอบ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า มีการบูรณในสมัยของพระเจ้ากนิษกะ (Kanishka) หรือประมาณ ค.ศ. 5 เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว สิ่งของมีค่าที่ขุดค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นลูกปัดโบราญ เหรียญ พระพุทธรูป รูปปั้น อัญมณี ตราประทับ และกล่องที่เชื่อว่าอาจบรรจุสารีริกธาตุ ได้ถูกนำไปเก็บรักษาและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ตักศิลาแล้ว
ชม ซากโบราญสถานจูเหลียน (Julian) ซึ่งอดีตเป็นวัดหรืออารามโบราณ ตั้งอยู่บนเนินเขา บนความสูง 300 ฟุต ทพระสถูปเหลือแต่ฐานให้เห็น บนลานกว้างลายล้อม ด้วยกำแพงห้องขนาดเล็กซึ่งน่าจะเป็นกุฏิสำหรับพระในการสวดมนต์และทำวิปัสสนา ส่วนที่แยกออกไปต่างหาก คือ หอประชุม ห้องเก็บของ ห้องครัว และห้องอาบน้ำ

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

นำท่านเดินทางสู่ กรุงอิสลามมาบัด (Islamabad) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศปากีสถาน มีพื้นที่ 906 ตารางกิโลเมตร กรุงอิสลามมาบัด ถูกสร้างขึ้นในคลิสต์ศตวรรษ 1960 เพื่อใช้เป็นเมืองหลวงของประเทศแทนนครการาจี นำท่านชม มัสยิดไฟซาล (Faisal Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของเอเชีย และเป็นมัชยิดที่สวยที่สุดและใหญ่ที่สุดในปากีสถาน ตั้งอยู่ที่เมืองอิสลามาบัด มัสยิดไฟซาล สร้างโดย กษัตริย์ไฟซาล บิน อับ ดุล เอซิส แห่งราชวงศ์ ซาอุดิอาระเบีย ใช้เงินงบประมาณการสร้างสูงถึง 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มัสยิด สามารถจุคนได้ 74,000 คน ในขณะที่มีพื้นที่ครอบคลุมหลักประมาณ 5,000 ตารางเมตร มีสี่หออะซานที่สวยงาม และพื้นสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมจำนวนมากจากทั่วโลกมาเยี่ยมชม จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
17.30     เดินทางสู่ คาบูล โดย Kam Air เที่ยวบินที่ 28 (ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง)

18.00     เดินทางถึงสนามบิน คาบูล
ค่ำ
          รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

ที่พัก คาบูล โรงแรม Kabul Serena Hotel หรือเทียบเท่า 5 ดาว
20 ต.ค.///วันที่สิบของการเดินทาง//คาบูล -บัมมิยัน-หุบเขาดาร์ยา อัจดาฮาห์ – ป้อมปราการชาร์-อี โซห์เฮก
– ป้อมปราการชารห์-อี โกลห์โกลา
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

นำท่านเดินทางไปยัง เมืองบัมมิยัน (Bamiyan) ระยะทาง 180 กม ใช้เวลาเดินทาง 3.30 ชม.
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

นำท่านเดินทางไปยัง หุบเขาดาร์ยา อัจดาฮาห์ (Darya Ajdhahar) หรือที่รู้จักกันในนามหุบเขามังกร (Valley of the Dragon) ณ สถานที่แห่งนี้มีการก่อตัวของหินขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นซากศพของมังกรที่ทำร้ายชาวบ้านที่อยู่อาศัยในละแวกนั้นมาตลอด จนกระทั่งฮาซรัด อาลี (Hazrat Ali) ลูกพี่ลูกน้องและลูกเขยของท่านศาสดาโมฮัมเหม็ด (Prophet Mohammed) ฆ่ามัน เรื่องราวดุจเทพนิยายข้างต้นนี้อ้างว่าเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจากหนึ่งในความทรงจำของนักบุญเซนต์จอร์จ หุบเขาดาร์ยา อัจดาฮาห์ เลื่องชื่อลืมนามเป็นอย่างมากว่าเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในอัฟกานิสถาน แวะชม ป้อมปราการชาร์-อี โซห์เฮก (Shar-e Zohak) ตั้งอยู่ทางทิศที่มุ่งหน้าไปยังหุบเขาบามิยัน เดิมใช้เป็นฐานบัญชาการทางการทหารในช่วง                     สองพันปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะโดนกองกำลังของเจงกีสข่านทำลาย แต่ป้อมปราการแห่งนี้ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์และแฝงไปด้วยเรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมาย ด้านบนสุดของป้อมปราการสามารถชมทัศนียภาพโดยรอบได้ 360 องศา แวะชม ป้อมปราการชารห์-อี โกลห์โกลา (Shahr-e Gholgola) ป้อมปราการอีกแห่งนึงในเขตเมืองบามิยัน เป็นป้อมปราการที่ใช้ป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ระบุว่าในปีคริสต์ศักราช 1221 ภายหลังจากเจงกีสข่านทำลายเมืองบัลข์ (Balkh) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอัฟกานิสถาน และเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรแบคเตรีย เจงกีสข่านได้ส่งหลานชายกับกองทัพเข้าไปจับคุมชาวเมืองบามิยัน แต่ชาวเมืองบามิยันกลับขัดขืนและจับกุมตัวหลานชายของเจงกีสข่านมาสำเร็จโทษ ทำให้เจงกีสข่านยกกองทัพเข้าปิดล้อมและทำลายป้อมปราการทิ้งเพื่อเป็นการแก้แค้นให้หลานชายผู้ล่วงลับ

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารโรงแรม

พักที่บัมมิยัน โรงแรม Gholghola Hotel หรือเทียบเท่า 3 ดาว ดีสุดในเมืองนี้

21 ต.ค.///วันที่สิบเอ็ดของการเดินทาง//บัมมิยัน – อุทยานแห่งชาติแบนด์-อี อาเมียร์ – บัมมิยัน

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

จากนั้นนำท่านเดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติแบนด์-อี อาเมียร์ (Band-e Amir National Park)                เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในอัฟกานิสถานและได้รับการบรรจุให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปีคริสต์ศักราช 2004

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของอุทยานแห่งชาติ

จากนั้นนำท่านเดินสำรวจบริเวณโดยรอบอุทยานแห่งชาติแบนด์-อี อาเมียร์ จุดเด่นของอุทยานแห่งชาตินี้ คือ มีทะเลสาบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่ของอุทยานถึง 6 แห่งด้วยกัน และมีชื่อเรียกแตกต่างกันดังนี้ 1) Band-e Gholaman 2) Band-e Qambar 3) Band-e Haibat 4) Band-e Panir 5) Band-e Pudina และ 6) Band-e Zulfiqar สีของทะเลสาบแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามปริมาณของแร่ธาตุที่สะสมอยู่ในน้ำ โดยหลักๆจะมีสีฟ้าครามคล้ายคลึงกับน้ำทะเล เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านเดินทางกลับไปยังเมืองบัมมิยัน

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก

พักที่บัมมิยัน โรงแรม Gholghola Hotel หรือเทียบเท่า 3 ดาว ดีสุดในเมืองนี้

22 ต.ค.///วันที่สิบสองของการเดินทาง//บัมมิยัน-หุบเขาบัมมิยัน-พระไวโรจนะพุทธเจ้า-พระศากยมุนีพุทธเจ้า-ตลาดใจกลางเมืองบัมมิยัน-คาบูล – ฮารัต

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

นำท่านเดินทางไปยัง หุบเขาบัมมิยัน (Bamiyan Valley) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงคาบูลเมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถานไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 240 กิโลเมตร ภายในบริเวณหุบเขาเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง และเมืองโบราณ หุบเขาบามิยันเป็นหนึ่งในแนวเส้นทางสายไหมที่ขบวนคาราวานจากจีนใช้เดินทางไปค้าขายในภูมิภาคเอเชียตะวันตกจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 และศาสนาพุทธเริ่มเข้ามาสู่บามิยันตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2 จนถึงช่วงศตวรรษที่ 9 ก่อนที่ศาสนาอิสลามเริ่มเข้ามามีบทบาท บามิยัน มีความเฟื่องฟูในพุทธศาสนาอย่างมาก เป็นแหล่งรวมหลักปรัชญาและศิลปะอินเดีย โดยจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นั่นคือ การสร้างพระพุทธรูปบัมมิยัน (พระพุทธรูปแกะสลักฝาผนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก) คาดว่าดำเนินการก่อสร้างโดยกษัตริย์ในราชวงศ์ Kushans ที่ได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์ว่าหากทำการก่อสร้างพระพุทธรูปบามิยันจะนำความรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักร พระพุทธรูป บัมมิยันมีพุทธศิลป์แบบ Gandhara สร้างโดยการแกะสลักโดยตรงเข้าไปในหน้าผาหินทราย เป็นโครงอย่างหยาบๆ ส่วนผิวและรายละเอียดภายนอกนั้นใช้การฉาบด้วย ดินผสมฟาง และฉาบทับด้วยปูนสทัคโค (Stucco คือ ปูนขาวผสมทรายและหินอ่อนป่น) เป็นชั้นสุดท้าย เพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรงของผิวภายนอก ก่อสร้างขึ้นจำนวน 2 องค์ ประกอบด้วย พระพุทธรูปบามิยันองค์ใหญ่ คือ พระไวโรจนะพุทธเจ้า (Buddhas Vairocana) ความสูง 55 เมตร คาดว่าก่อสร้างในช่วงปีคริสต์ศักราช 591 – 644 และพระพุทธรูปบามิยันองค์เล็ก คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า (Buddhas Sakyamuni) มีความสูง 37 เมตร คาดว่าก่อสร้างในช่วงระหว่างปีคริสต์ศักราช 544 – 595 ภายหลังพระพุทธรูปแกะสลักทั้งสองได้ถูกทำลายโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบันด้วยระเบิดไดนาไมต์เมื่อเดือนมีนาคมในปีคริสต์ศักราช 2001 นอกจากประติมากรรมแกะสลักฝาผนังบริเวณบนหน้าผาจะมีถ้ำเล็กๆจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่านักบวช โดยภายในถ้ำบางแห่งจะมีภาพวาดฝาหนังทางศาสนาอย่างงดงามอีกด้วย จากนั้นนำท่านแวะชมและเลือกซื้อสินค้าใน ตลาดใจกลางเมืองบัมมิยัน (Bamiyan Bazar) เพื่อซึมซับบรรยากาศและเข้าถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวฮาซารา

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
จากนั้นนำท่านเดินทางกลับคาบูล ระยะทาง 180 กม ใช้เวลาเดินทาง 3.30 ชม. จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบินคาบูล
17.15     เดินทางสู่ เมืองฮารัต Kam Air เที่ยวบินที่ 105 (ใช้เวลาเดินทาง 1.15 ชั่วโมง)

18.30     เดินทางถึงสนามบิน เมืองฮารัต
ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก

พักที่ฮารัต โรงแรม Nazary 4 Star Hotel หรือเทียบเท่าระดับ 3  ดาว ดีสุดในเมืองนี้

23 ต.ค.///วันที่สิบสามของการเดินทาง// ฮารัต – มัสยิดอี-เจมี่ แห่งฮารัต – พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองฮารัต-ฮารัต – สุสานจักรพรรดินีโกวา ชาห์ด – สถาปัตยกรรมมาซุลลาห์ – สุสานควาจา อับดุลละห์ อันซารี

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

นำท่านเที่ยวชมในเมืองฮารัต (Herat) เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอัฟกานิสถาน เป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อการคมนาคมระหว่างประเทศ เนื่องจากมีเส้นทางข้ามผ่านไปยังชายแดนของอิหร่าน เติร์กเมนิสถาน แวะชม มัสยิดอี-เจมี่ แห่งฮารัต (Masjid-i Jami’ of Herat) เป็นมัสยิดหลวงในฮารัต มีอีกชื่อหนึ่งคือ Friday Mosque ซึ่งมีที่มาจากการที่มัสยิดจะมีกิจกรรมให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามชุมนุมกันเพื่อกล่าวบทสวดสรรเสริญองค์อัลลอฮ์ ดำเนินการก่อสร้างในปีคริสต์ศักราช 1404 – 1446 โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบอิสลาม จากนั้นแวะชม พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองฮารัต (Herat Museum) เปิดทำการครั้งแรกในเดือนตุลาคม ปีคริสต์ศักราช 2011 จัดแสดงวัตถุโบราณราว 1,100 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งของในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 10 – 13 อาทิ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องโลหะ อาวุธปืน และปืนใหญ่ เป็นต้น
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านชม สุสานจักรพรรดินีโกวา ชาห์ด (Tomb of Gowar Shad) ภรรยาของจักรพรรดิชาห์รุกห์ แห่งราชวงศ์ติมอร์ พระนางมีความสำคัญอย่างมากต่อการเผยแพร่วัฒนธรรมเปอร์เซีย และทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ของการศึกษาภาษาเปอร์เซีย แวะชม สถาปัตยกรรมมาซุลลาห์ (Masullah Complex) เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นจากหินมีลักษณะคล้ายทรงกระบอก เดิมถูกสร้างขึ้นทั้งหมด 9 แห่ง พังทลายลงไป 2 แห่ง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปีคริสต์ศักราช 1931 และอีก 2 แห่ง พังทลายจากปืนใหญ่ของสหภาพโซเวียต ปัจจุบันหลงเหลือเพียง 5 แห่งเท่านั้น จากนั้นแวะชม สุสานควาจา อับดุลละห์ อันซารี (Khwaja ‘Abd Allah Ansari shrine) นักบุญที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้พิทักษ์ของฮารัต สุสานสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1098 โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบติมอร์ ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งแสวงบุญที่สำคัญในฮารัต

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก

พักที่ฮารัต โรงแรม Nazary 4 Star Hotel หรือเทียบเท่าระดับ 3  ดาว ดีสุดในเมืองนี้

24 ต.ค.///วันที่สิบสี่ของการเดินทาง//ฮารัต-คาบูล – พิพิธภัณฑ์ OMAR landmine – มัสยิดแห่งกษัตริย์ดาบสองมือ – ย่านเมืองเก่าคาบูล – พระราชวังดัลลูลาแมน – พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอัฟกานิสถาน – ชม สวน Bagh-e Babur

เช้าตรู่    จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
06.45     เดินทางสู่ เมืองคาบูล Kam Air เที่ยวบินที่ 106 (ใช้เวลาเดินทาง 1.15 ชั่วโมง)

08.00     เดินทางถึงสนามบิน เมืองคาบูล
เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

นำท่านชม เมืองคาบูล (Kabul) เมืองหลวงและเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศอัฟกานิสถาน มีพื้นที่ทั้งหมด 275 ตารางกิโลเมตร เขตพรมแดนติดกับประเทศทาจิกิสถานผ่านทางอุโมงค์ใต้เทือกเขาฮินดูกูช คาบูลเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เน้นการส่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทเฟอร์นิเจอร์ ผ้า น้ำตาลจากหัวผักกาดฝรั่ง (Sugar beet) และปืนใหญ่ มีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองคาบูลประมาณ 6 ล้านคน (ค่าประมาณปีคริสต์ศักราช 2017) ส่วนใหญ่เป็นคนจากชนชาติพาชตุน ทาจิก และฮาซารา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเมืองคาบูลประสบกับภัยสงคราม หลายครั้งด้วยกัน ครั้งล่าสุดเป็นสงครามระหว่างทางการกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบัน ซึ่งผลลัพธ์คือกลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบันได้พ่ายแพ้ให้กับทางการและล่มสลายไป ทำให้เมืองคาบูลกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง นักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำธุรกิจมากขึ้นส่งผลให้การฟื้นฟูและพัฒนาเมืองนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว นำท่านชม พิพิธภัณฑ์ OMAR landmine ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ OMAR ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการหลักในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและฟื้นฟูสมรรถภาพอัฟกานิสถาน จัดแสดงคอลเลกชั่นของทุ่นระเบิดชนิดต่าง ๆ มากกว่า 60 ชนิด รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แวะชม มัสยิดแห่งกษัตริย์ดาบสองมือ (Shah-e Doh Shamshira mosque) ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งของแม่น้ำคาบูล สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1920 โดยการขับเคลื่อนของ Amanullah ซึ่งตั้งใจก่อสร้างมัสยิดให้มีความทันสมัยมากขึ้นและแตกต่างจากมัสยิดแห่งอื่นโดยใช้สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่าง Versailles (ฝรั่งเศส) และ Vienna (ออสเตรีย) ชื่อของมัสยิดมาจากเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ว่า ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 คาบูลเป็นเมืองฮินดูที่ถูกล้อมรอบด้วยกองทัพอาหรับ ระหว่างทำสงครามกษัตริย์อาหรับได้ถูกอาวุธบั่นศีรษะ แต่ได้รับแรงบัลดาลใจจากองค์อัลลอฮ์จึงทำให้เขาสู้ต่อไปจนได้รับชัยชนะ แวะชม ย่านเมืองเก่าคาบูล (Murad Khane) เป็นย่านชุมชนที่เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยอะห์เมด ชาห์ เดอรานี่ ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเดอรานี่ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงอาคารบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอิสลาม ซึ่งได้รับการคุ้มครองและดูแลมายาวนานกว่า 400 ปี เมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วนำท่านแวะชม พระราชวังดัลลูลาแมน (Dalulaman Palace) หรือพระราชวังแห่งสันติภาพ สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1920 โดยกษัตริย์อามุนลลาห์ ซึ่งมีพระประสงค์ให้อัฟกานิสถานมีความทันสมัยมากขึ้น ก่อสร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ Neoclassical (เยอรมนี) พระราชวังแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมซึ่งได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้และปืนใหญ่จากรถถัง ในเหตุการณ์รัฐประหารของพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลอัฟกานิสถานได้วางแผนเพื่อที่จะบูรณะซ่อมแซมพระราชวังอีกครั้งในปีคริสต์ศักราช 2017 และคาดว่าจะเสร็จสิ้นในปีคริสต์ศักราช 2019 ซึ่งปัจจุบันได้รับรายงานว่าขณะนี้ได้รับการบูรณะเสร็จสิ้นมากกว่าร้อยละ 50 แล้ว (กุมภาพันธ์ 2018)

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

ชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอัฟกานิสถาน (Afghanistan National Museum) เปิดทำการครั้งแรกในปีคริสต์ศักราช 1919 โดยกษัตริย์อามุนลลาห์ เดิมจัดแสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์ราว 100,000 ชิ้น และบางชิ้นมีอายุหลายพันปี เนื่องจากสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1992 ทำให้ร้อยละ 70 ของวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ถูกปล้นไปและกระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในปีคริสต์ศักราช 2007 องค์กรระหว่างประเทศได้ให้ความช่วยเหลือแก่พิพิธภัณฑ์ในการตามหาวัตถุโบราณและได้รับคืนมาราว 8,000 ชิ้น และภายในปีคริสต์ศักราช 2012 สหราชอาณาจักรได้ทำการส่งมอบคืนให้อีก 843 ชิ้น นำท่านเยี่ยมชม สวน Bagh-e Babur เป็นสวนสาธารณะประวัติศาสตร์ของกรุงคาบูล เนื่องจากเป็นสถานที่พักผ่อนของจักรพรรดิบาร์บ กษัตริย์องค์แรกแห่งจักรวรรดิโมกุล สร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1528 และมีการสร้างมัสยิดขนาดเล็กไว้ในสวนเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย จากนั้นนำท่านเดินางสู่สนามบิน

17.45     เดินทางสู่ เมืองมาซาร์ อี ซารีฟ Kam Air เที่ยวบินที่ 143 (ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง)

18.45     เดินทางถึงสนามบิน เมืองมาซาร์ อี ซารีฟ

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก

พักที่ มาซาร์ อี ชารีฟ โรงแรม Baran Imperatory Hotel หรือเทียบเท่าระดับ 3 ดาว ดีสุดในเมืองนี้
25 ต.ค.///วันที่สิบห้าของการเดินทาง//มาซาร์ อี ซารีฟ – สแมนแกน – ทัคห์ อี โรสแตม – ทาชคูร์กาน – พระราชวัง Bagh-e-Jahan nama

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

ออกเดินทางสู่ สแมนแกน (Samangan) มีพื้นที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาฮินดูกูซ เป็นเมืองโบราณศูนย์กลางทางพุทธศาสนาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 และ 5 แวะชมแหล่งโบราณคดี ทัคห์ อี โรสแตม (Takth i Rostam) ถ้ำหินเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี เป็นศูนย์รวมของผลงานการแกะสลักเจดีย์หินโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบพุทธศาสนานิกายเถรวาท

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

เดินทางไปยังเมืองโบราณ ทาชคูร์กาน (Tashqurghan) เมืองทางผ่านของเส้นทางสายไหม ก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นเมืองศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดทางภาคเหนือของอัฟกานิสถานในด้านการค้าขายขนสัตว์และแกะ แวะชม พระราชวัง Bagh-e-Jahan nama สร้างขึ้นในช่วงปีคริสต์ศักราช 1974 – 1976 โดยใช้สถาปัตยกรรมโคโลเนียลแบบอินเดีย ต่อมาได้รับการบูรณะจากแนวคิดที่จะทำให้พระราชวังกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ของประธานาบดี Daoud Khan ในปีคริสต์ศักราช 1974 – 1976 และในปีสุดท้ายที่ทำการบูรณะก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อพระราชวังอย่างมาก ประกอบกับเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจึงได้ยุติการก่อสร้างไป ในปีคริสต์ศักราช 2007 รัฐบาลของอัฟกานิสถานได้ดำเนินการบูรณะตามแผนเดิมอีกครั้งพร้อมกับสร้างสวนโดยรอบพระราชวังขึ้น เพื่อปรับปรุงทัศนียภาพให้มีความสวยงามมากขึ้น เมื่อได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับไปยังเมืองมาซาร์ อี ซารีฟ

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารโรงแรม

พักที่ มาซาร์ อี ชารีฟ โรงแรม Baran Imperatory Hotel หรือเทียบเท่าระดับ 3 ดาว ดีสุดในเมืองนี้

26 ต.ค.//วันที่สิบหกของการเดินทาง//มาซาร์ อี ชารีฟ – ศาสนสถานเฮซเรต อาลี – มัสยิดเก่าแก่อี โนห์ กอนแบด – ศาสนสถานโคห์จา ปาร์ซาศาสนสถานโคห์จา ปาร์ซา – ประตูเมืองบัลข์ – พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองบัลข์

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำเมือง ได้แก่ ศาสนสถานเฮซเรต อาลี (Shrine of Hazrat Ali) ตั้งอยู่ในกลางเมืองมาซาร์ อี ชารีฟ สร้างขึ้นในรัชสมัยของราชวงศ์เซลจุค (Seljuq dynasty) โดยสุลต่านอะห์เมด ซานจาร์ ถูกทำลายในปีคริสต์ศักราช 1220 โดยกองทัพของจักรวรรดิมองโกล ต่อมาได้มีการบูรณะและก่อสร้างมัสยิดสีครามเพิ่มเติมจนแล้วเสร็จในปีคริสต์ศักราช 1481 โดยสุลต่าน ฮุสเซ็น มีร์ซา เบการาห์ ปัจจุบันกลายเป็นศาสนสถานและหลุมฝังศพของผู้นำทางการเมืองและศาสนา แวะชม มัสยิดเก่าแก่อี โนห์ กอนแบด (Masjid E Noh Gonbad) ซากโบราณสถานที่คาดว่าสร้างขึ้นในปีคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างกรีกและพุทธศาสนา ซึ่งในอดีตพื้นที่เมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม รู้จักกันในนามเมืองบัลข์ (Balkh) และเป็นศูนย์กลางทางศาสนาพุทธ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ (ศาสนาเอกเทวนิยมของอิหร่าน) และศาสนาอิสลาม แวะชม ศาสนสถานโคห์จา ปาร์ซา (Shrine of Khoja Parsa) หรือรู้จักกันในนาม Bala Hasar ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมือง สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบตีมูร์ (Timurid) แวะชม ประตูเมืองบัลข์ (Entrance gate of Balkh) และพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองบัลข์ (Balkh Museum) จากนั้นนำท่านเที่ยวชมในเมืองมาซาร์ อี ซารีฟ

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
16.25     เดินทางสู่ คาบูล โดย Kam Air เที่ยวบินที่ 28 (ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง)

17.25     เดินทางถึงสนามบิน คาบูล

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารโรงแรม
ที่พัก คาบูล โรงแรม Kabul Serena Hotel หรือเทียบเท่า 5 ดาว

27 ต.ค.///วันที่สิบเจ็ดของการเดินทาง// คาบูล-เดลลี-กรุงเทพฯ

เช้า         รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม

อิสระอัธยาศัย จนได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

14.45     เดินทางสู่ กรุงเดลฮี (Delhi) โดยสายการบิน Air India เที่ยวบินที่244 (ใช้เวลาเดินทาง 2.05 ชั่วโมง)
17.50     เดินทางถึงสนามบินอินทิรา คานธี (Indira Gandhi Intl) กรุงเดลฮี (Delhi) ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร

ค่ำ          รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมใกล้สนามบิน

เมื่อได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางไปยังสนามบินอินทิรา คานธี (Indira Gandhi Intl) กรุงเดลฮี (Delhi)

23.30     เดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน Thai Airways เที่ยวบินที่ TG316 (ใช้เวลาเดินทาง 4.25 ชั่วโมง)

28 ต.ค.///วันที่สิบเจ็ดของการเดินทาง//กรุงเทพฯ

05.25     เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

อัตราค่าบริการ
ผู้ใหญ่พักห้องคู่หรือเด็ก1 ท่านพักกับผู้ใหญ่1 ท่าน  179,000.-
ในกรณีต้องการพักห้องเดี่ยวชำระเพิ่ม   29,000
เด็กต่ำกว่า12 ปี (เสริมเตียง-พักกับผู้ใหญ่อีก2 ท่าน) 179,000.-